
โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" นอกจากกระตุ้นจับจ่าย ยังมีโครงการเน้น Upskill/Reskill ร้านค้า เพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยมีธนาคารออมสินจัดหลักสูตร
“คนละครึ่ง พลัส” เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ขอลอกมาใช้ โดยไม่สนใจว่าเป็นโครงการเก่าของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยนายกฯ อนุทิน ประกาศว่า เมื่อเป็นมาตรการที่ดี ได้ผลเร็ว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หากไม่ต้องการซ้ำกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ รัฐบาลอนุทิน เติม “พลัส” ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
และการมีคำว่า “พลัส” นั้น เพื่อยกระดับร้านค้าให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล ภายใต้โครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” โดยกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้ธนาคารออมสิน ดำเนินการจัดทำหลักสูตร “Smart Finance Upskill: การพัฒนาความรู้ทางการเงิน ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
เมื่อผู้เข้าอบรมผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านหลักสูตร เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการรับสิทธิเงินเพิ่ม 2,000 บาท นอกจากนี้ยังเป็นหลักฐานการกู้เงินขยายกิจการได้ด้วย
โดยร้านค้าที่สนใจเข้าร่วม Upskill-Reskill ได้ตั้งแต่วันนี้ - 19 ธ.ค. 2568 ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ในช่วงแรกจะรับเพียง 400,000 ร้านค้าเท่านั้น
ทั้งนี้ เพียงวันแรก กระแสตอบรับการ Upskill-Reskill ถือว่าดีมาก และเป็นที่พอใจเป็นอย่างมาก โดย "เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ" รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ปลื้มมาก เพราะมีคนสนใจสมัครเรียน Upskill-Reskill จำนวนมาก
เนื่องจากการเรียนรู้ทักษะการใช้งานดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องทำมาหากิน ไม่ได้นั่งไถโซเชียลเพียงอย่างเดียว แต่ใช้โซเชียล ให้เป็นประโยชน์ ทำให้ยอดขาย สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งพิสูจน์ได้จากการเปิดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ “ฟู้ด ดิลิเวอรี” เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ผลปรากฏว่า ยอดขายเพิ่มขึ้น 16% ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่า เมื่อร้านค้ามีรายได้เพิ่มจากเครื่องมือดิจิทัล จะมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นผลดีในระยะยาว
“คนละครึ่ง พลัส” ถือว่ากระแสดีมาก ประชาชนทุกคนพูดถึง ทั้ง ๆ ที่รัฐบาล ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลากหลายมาตรการ แต่กระแสไม่แรงเท่ากับ “คนละครึ่ง พลัส” เพราะได้รับแต่คำชม และเป็นยาชูกำลังเศรษฐกิจไทย ให้คึกคักขึ้นมาในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.2568
นั่นเป็นเพราะว่า ยอดการใช้จ่ายราว 84% เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน อยู่ในต่างจังหวัด ส่วนอีก 16% อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นั่นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
เมื่อกระแสดี...ไม่มีตก รัฐบาลจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการเติมเงินให้ประชาชนอีกครั้ง วงเงินคนละ 4,000 บาท โดยจะเริ่มเติมเงินให้ประชาชนอีกครั้งในช่วงเดือน ม.ค.2569 ถือโอกาสมอบของขวัญปีใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้จ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ด้วย
โดยคนเก่าที่ได้รับสิทธิแล้ว 20 ล้านคน ก็จะเติมเงินให้ครบ 4,000 บาท เช่น กรณีคนได้เงิน 2,400 บาท เป็นคนที่ยื่นแบบภาษี ก็จะได้เงินเพิ่มอีก 2,000 บาท รวมเป็น 4,400 บาท ส่วนผู้ไม่ยื่นแบบภาษี ได้เงิน 2,000 บาท รัฐก็จะเติมเงินให้อีก 2,000 บาท ส่วนคนที่ไม่เคยได้สิทธิในครั้งแรก ก็จะได้รับเงิน 4,000 บาทรวดเดียว
การเพิ่มเงินให้ผู้ยื่นแบบภาษี 400 บาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนคนไทย เข้าสู่ระบบภาษี ซึ่งเป็นผลดีต่อการบริหารจัดการสวัสดิการรัฐในระยะยาว ตามนโยบาย “Quick Big Win: กระตุ้นสั้นและเร็ว ได้ผลยาว กระจายตัว”
ส่วนงบประมาณที่รัฐจะนำมาดำเนินการนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการจัดสรร และบริหารจัดการจากงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งงบกลางฉุกเฉิน และงบประมาณที่เหลือจาก “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 1 คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้โครงการเดินต่อไปอย่างไม่สะดุดในช่วงต้นปี69
โดยรัฐบาลคาดหวังว่า “คนละครึ่ง พลัส” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้พ้นจากหล่ม ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 100,000 ล้านบาท มีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ราว 0.1-0.22 % และดันจีดีพีปี 2568 เกิน 2%
โปรดรอติดตาม....ว่ารัฐบาลจะคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใด ๆ ออกมาอีก ที่เป็นนโยบายประชานิยม ได้ผลเร็ว ช่วยดันจีดีพีให้เติบโต นำพาเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากหล่ม...ได้จริงหรือไม่?..... หรือเป็นแค่ยาชูกำลังเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney