
โครงการแก้หนี้เสียของรัฐบาลมีเป้าหมายลดหนี้ครัวเรือนและกระตุ้นเศรษฐกิจ
“การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน และบั่นทอนศักยภาพในการใช้จ่ายของประชาชน ถือเป็นหนึ่งใน 5 เสาหลักของการไปสู่ “Quick Big Win” พลิกฟื้นประเทศ ทำสั้น แต่ได้ผลยาวของรัฐบาลนายกฯ หนู “อนุทิน” โดยมองว่า หากรัฐสามารถเข้าไปช่วยลดภาระหนี้ของประชาชนลงได้ ก็จะช่วยให้ประชาชนมีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น
และในวันที่ 11 พ.ย.ที่จะถึงนี้ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะนำเสนอรายละเอียดโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ Asset Management Company : AMC ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการแก้หนี้เสียของประชาชน
หลักการในเบื้องต้นของโครงการดังกล่าว คือ จะให้ AMC 2 แห่ง คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ) ถือหุ้น 100% และ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ Ari-AMC ที่มาจากการร่วมทุนระหว่าง ธนาคารออมสินกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เข้ามาซื้อหนี้เสีย (หนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน:เอ็นพีแอล) ของประชาชน ออกไปจากสถาบันการเงินและบริษัทที่ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) และนำไปบริหารจัดการต่อ
ส่วนคุณสมบัติของหนี้ที่จะซื้อออกไปนั้น จะเป็นการซื้อหนี้ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน และต้องเป็นหนี้เสียไปแล้ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ยอดหนี้ที่จะซื้อแต่ละราย รวมกันทุกแห่งไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย
โดยเหตุผลส่วนหนึ่งที่กำหนดมูลหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายนั้น เพราะต้องการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่กำลังมีปัญหา และยังพบด้วยว่า จากหนี้เสียทั้งระบบ 100% มีหนี้เสียกว่า 50% ที่มีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท
ทั้งนี้ เบื้องต้นภาครัฐคาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมโครงการนี้ได้ทั้งสิ้นประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท แต่ในรอบแรกนั้น คาดว่าจะซื้อหนี้ออกมาก่อนได้ประมาณ 62,330 ล้านบาท มีลูกหนี้เข้าข่าย 2.36 ล้านบัญชี โดยกว่า 80% เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลกับหนี้บัตรเครดิต ขณะที่หนี้บ้านมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นบ้านถูกยึดและยังมีหนี้คงค้างอยู่กับธนาคาร
แยกเป็น ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ ประมาณ 1.5 ล้านราย มูลค่าหนี้ 43,508 ล้านบาท ลูกหนี้ที่อยู่กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) กว่า 790,479 ราย มูลค่าหนี้ 18,822 ล้านบาท ขณะที่ในลูกหนี้ในกลุ่มของนอนแบงก์ ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของสถาบันการเงิน อีกประมาณ 1.2-1.6 ล้านรายนั้น จะต้องรอการพิจารณาการเข้าซื้อหนี้ในรอบต่อไป
ส่วนเม็ดเงินที่จะนำมาซื้อหนี้ประชาชนนั้น รัฐจะช่วยสนับสนุนโดยนำเงินที่เหลือจากโครงการ "คุณสู้เราช่วย" ประมาณ 26,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการลดเงินนำส่งของธนาคารพาณิชย์ เข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ลดลงจาก 0.46% เหลือ 0.23% มาใช้ในการดำเนินโครงการ
และเพื่อไม่ให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “การเสียวินัยทางการเงินซ้ำซาก” หรือ Moral Hazard “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธปท.ยืนยันว่า การดำเนินการซื้อหนี้จะทำครั้งเดียวเท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้ลูกหนี้ที่มีหนี้อยู่แล้ว และลูกหนี้ที่จะกู้เงินใหม่ ตั้งใจกลายเป็น “หนี้เสีย” เพื่อรอให้รัฐรับซื้อหนี้ออกไปในรอบใหม่วนไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ แนวคิดที่จะซื้อหนี้ประชาชนนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่มีสัดส่วนสูงมาก ให้ลดลงต่ำกว่า 80% ของจีดีพี ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ในช่วงที่ผ่านมาคนไทยมีหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ประเภทสินเชื่อบัตรเครดิต รวมทั้ง สินเชื่อบุคคลในระดับที่สูงมาก และกลายเป็นหนี้เสียจำนวนมากด้วยเช่นกัน ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะปรับโครงสร้างหนี้มากเท่าที่ควร
สอดคล้องกับ ผลสำรวจของธนาคารทีทีบีธนชาต (ttb) ที่ได้ทำ financial health check หรือโปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงินออนไลน์ในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทยกว่า 96,000 คน ระหว่างเดือนส.ค. 2566 –ก.พ. 2568 ที่พบว่า 82% ของคนไทยมีภาระหนี้ และส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนถึง 53% โดยมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่มีสินเชื่อประเภทเหล่านี้สูงถึง 5 บัญชีต่อคน และเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-3 บัญชีต่อคน และหากจะเลือกหยุดชำระหนี้จะหยุดชำระหนี้ประเภทนี้ก่อนประเภทอื่น ทำให้แนวโน้มหนี้เสียในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะทำความเข้าใจกับลูกหนี้มากที่สุด คือ “การซื้อหนี้” ไม่ใช่การปลดหนี้ หรือล้างหนี้ของประชาชน แล้วรัฐบาลจะเป็นคนจ่ายหนี้แทน หนี้ของเราที่ก่อไว้ไม่ได้หายวับไปกับตา แค่เป็นการ “เปลี่ยนเจ้าหนี้” จากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เดิมของเรา ไปเป็น AMC ของรัฐเท่านั้น ซึ่ง AMC ยังจะต้องมาทวงถามติดตามหนี้กับลูกหนี้เช่นเดิม
สิ่งที่ AMC จะทำหลังจากซื้อหนี้ไปแล้ว คือ การติดต่อให้ลูกหนี้ไปดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้กับ AMC เพื่อสะสางหนี้ที่มีอยู่ให้จบลงได้ แต่สิ่งที่ดีกว่าเดิม อาจจะเป็นเงื่อนไขของการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะผ่อนปรนมากขึ้น เช่น ตัด หรือลดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือเงินต้นบางส่วนทิ้งไป แล้วให้จ่ายที่เหลือรอบเดียวเพื่อปิดบัญชี หรือ ลดค่างวดในการจ่ายลงและยืดเวลาให้นานขึ้น ซึ่งอาจจะช่วยให้ลูกหนี้สามารถลดภาระการจ่ายหนี้เดิม ที่แต่ก่อนอาจจะจ่ายรายเดือน หรือจ่ายปิดหนี้ทั้งก้อนไม่ไหวลงได้บ้าง และมีโอกาสกลับมาเป็นหนี้ที่ดีได้มากขึ้น
ส่วนการหลุดพ้นจากแบล็กลิสต์ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร (NBC) เพื่อให้สามารถกลับมากู้เงินได้ใหม่นั้น ทางภาครัฐระบุว่า จะมีการตั้งรหัสพิเศษ คือ รหัส 16 ให้แก่กลุ่มลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ (ถูกโอนหนี้เข้าไปใน AMC) หวังช่วยให้ขอกู้เงินใหม่ได้เร็วขึ้น แต่ก็ขึ้นกับการผ่อนส่งของลูกหนี้ และการพิจารณาของธนาคาร
แต่ที่สำคัญที่สุด และเป็นไฮไลท์ที่จะทำให้ AMC จะสามารถผ่อนปรนเงื่อนไขให้กับลูกหนี้มากหรือน้อยเท่าไรนั้น จะขึ้นกับ AMC มีต้นทุนในการซื้อหนี้ออกจากสถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์ในราคาเท่าไร
ซึ่งราคาดังกล่าวจะต้องประเมินจากคุณภาพหนี้ที่จะขายออกมา ว่ามีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นหนี้ดีได้หรือไม่ หากมีโอกาสฟื้นได้ “ส่วนลด” ที่สถาบันการเงินจะลดให้คงไม่มาก เช่น อาจจะขายลดลง 30-50% แต่หากคุณภาพแย่ โอกาสฟื้นกลับมาเป็นหนี้ดีน้อย ส่วนลดอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 70-80-90% ก็เป็นได้ ซึ่งในกรณีนี้คาดว่า ธปท.และสมาคมธนาคารไทย จะเป็นตัวกลางในการประเมินราคา “ซื้อลด” ที่เหมาะสม
นอกจากนั้น อีกส่วนที่ต้องพิจารณา คือ หลังจากการบริหารจัดการติดตามหนี้ AMC ได้เงินส่วนนี้กลับคืนมามากน้อยแค่ไหน เพราะกรณีนี้ไม่ใช่การซื้อขายและบริหารจัดการหนี้เสียในเชิงพาณิชย์ที่ AMC จะต้องคำนวณกำไรที่จะเข้าบริษัทอย่างเดียว เพราะเงินที่นำไปซื้อหนี้เสียในครั้งนี้ เป็นเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ซึ่งคือ “เงินของรัฐ”
ดังนั้น เมื่อ AMC ติดตามหนี้มาได้ ก็ควรจะต้องมีส่วนหนึ่งแบ่งคืนมาให้รัฐ ทำให้คาดว่า จะต้องมีเกณฑ์การแบ่งรายได้ระหว่างรัฐ และ AMC จากการบริหารติดตามหนี้คืน ซึ่งก็ต้องติดตามในวันที่ 11 พ.ย.นี้อีกเช่นกันว่า สัดส่วนการแบ่งรายได้จะออกมาเป็นอย่างไร
2 ปัจจัยนี้ ถือเป็น KPI ชี้วัด ผลการดำเนินการของ AMC ว่า จะประสบความสำเร็จในการซื้อหนี้มาบริหารจัดการหรือไม่ และสุดท้ายรัฐบาลจะต้องใช้เงินไปในโครงการนี้เท่าไร ได้กลับคืนมากแค่ไหน เทียบกับผลลัพธ์ของการลดหนี้ครัวเรือน เพิ่มกำลังการใช้จ่ายและฟื้นเศรษฐกิจไทยแล้ว ถือว่า “คุ้มค่า” แล้วหรือไม่
มาช่วยกันให้กำลังใจและลุ้นต่อไปด้วยกัน!!!
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney