พระราชินีผู้วางรากฐาน Value Chain ของไทย

Experts pool

Columnist

Tag

พระราชินีผู้วางรากฐาน Value Chain ของไทย

Date Time: 31 ต.ค. 2568 18:31 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มโครงการศิลปาชีพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เพื่อฟื้นฟูงานหัตถกรรมไทยและเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านให้เป็นเศรษฐกิจจริง โดยออกแบบระบบครบวงจรตั้งแต่การฝึกอาชีพ การรวมกลุ่ม ผลิต การควบคุมคุณภาพ การออกแบบจนถึงการจัดจำหน่ายผ่านศูนย์กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และร้าน “ศิลปาชีพพัฒนา” ในกรุงเทพฯ รวมทั้งการนำสินค้าสู่เวทีนานาชาติ ผลลัพธ์คือการสร้างงาน รายได้ และศักดิ์ศรีให้เกษตรกรหญิงและแม่บ้านชนบท ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจโดยไม่ลบล้างวิถีท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าไหมแพรวาและเครื่องจักสานไผ่ ทำให้เกิดมูลค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ยังสร้างรายได้ให้ประเทศเป็นหลักหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

Latest


ท่ามกลางความโศกเศร้าของปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต สิ่งที่ประชาชนรำลึกถึงไม่ใช่เพียงพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ แต่คือพระปรีชาญาณทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งและล้ำสมัยเกินยุคสมัย

“หนึ่งในนั้นคือ ศิลปาชีพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่พระองค์ทรงวางรากไว้ก่อนโลกจะมีคำนี้ในตำราหลายสิบปี ก่อนที่แนวคิด Creative Economy จะถูกบัญญัติอย่างเป็นทางการ พระองค์ได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สามารถกลายเป็นเศรษฐกิจได้จริง”

หนังสือ “สมเด็จพระบรมราชินีนาถนักพัฒนา เพื่อปวงประชาสุขศานต์” ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บันทึกไว้อย่างละเอียดว่า พระองค์ทรงก่อตั้ง “โครงการศิลปาชีพ” ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ก่อนที่ Michael Porter จะนิยามคำว่า Value Chain ในตำราเศรษฐศาสตร์ ราวปี ค.ศ. 1985 เสียอีก

ไม่ใช่เพียงเพื่อสืบสานศิลปะไทย แต่เพื่อ “สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างศักดิ์ศรี” ให้เกษตรกรหญิงและแม่บ้านในชนบททั่วประเทศ ตั้งแต่ทอผ้าไหม จักสาน ทำเครื่องเงิน เครื่องปั้น เครื่องเขิน ไปจนถึงงานปักมือระดับโลก ทุกขั้นตอนทรงออกแบบให้เชื่อมต่อกันเป็นระบบเดียว ตั้งแต่การฝึกอาชีพ การรวมกลุ่มผลิต การจัดตั้งศูนย์ฝึก คลังวัสดุ หน่วยออกแบบ ฝ่ายคุณภาพ ฝ่ายตลาด และร้านจำหน่ายภายใต้พระนาม “ศิลปาชีพ” นั่นคือระบบ Value Chain ฉบับไทยแท้

หัวใจของระบบนี้คือ การให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในห่วงโซ่คุณค่าของแผ่นดิน พระองค์ทรงมองว่า แรงงานหญิง คือทุนทางสังคมที่มีคุณค่ามหาศาล หากได้รับโอกาสและเครื่องมือที่เหมาะสม จึงทรงเน้นการสอนอาชีพควบคู่จิตใจ “ให้ภูมิใจในงานตน ไม่ใช่สงสารตนเอง” จนเกิดเครือข่ายกลุ่มทอผ้าและงานหัตถกรรมกว่า 200 ศูนย์ทั่วประเทศ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโมเดลต้นแบบของ OTOP และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับจังหวัด

หากมองเชิงเศรษฐกิจ ศิลปาชีพคือระบบผลิตที่เน้นการสร้างมูลค่าจากวัฒนธรรม (Cultural Value Addition) พระองค์ทรงเปลี่ยน “ของพื้นบ้านราคาถูก” ให้กลายเป็นสินค้าระดับพรีเมียม ที่ต่างชาติยอมรับ ทั้งผ้าไหมแพรวา ผ้าฝ้ายลายขิด เครื่องจักสานไผ่ เครื่องเงินภูมิปัญญาล้านนา เป็นการยกระดับสินค้าชุมชนเข้าสู่ตลาดโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตชาวบ้าน นี่คือแนวคิด “ยกระดับ แต่ไม่ลบล้างราก” ที่ทรงยึดมั่นตลอดพระชนมชีพ

พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญกับ “ตลาด” ซึ่งในอดีตเป็นจุดอ่อนของเกษตรกร จึงโปรดให้ตั้งร้าน “ศิลปาชีพพัฒนา” ในกรุงเทพฯ และงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ เพื่อเชื่อมผู้ผลิตกับผู้บริโภคโดยตรง ผลลัพธ์คือชาวบ้านมีรายได้มั่นคง บางครอบครัวส่งลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยจากรายได้ผ้าไหมผืนเดียว

เมื่อมองจากมุมเศรษฐกิจ ศิลปาชีพคือระบบ Inclusive Economy หรือระบบเศรษฐกิจที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม และได้รับผลประโยชน์อย่างยุติธรรมที่เป็นรูปธรรม เพราะทุกขั้นตอนเปิดโอกาสให้คนชนบทมีส่วนร่วม ตั้งแต่คิด สร้าง และขาย เป็นการกระจายรายได้สู่ฐานรากอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งงบรัฐจำนวนมาก หากแต่พึ่ง “ศักยภาพของคนไทยเอง”

วันนี้ แม้กาลเวลาจะเปลี่ยน แต่ผ้าไหมและงานศิลปาชีพยังคงสร้างรายได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปีให้ประเทศ กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นมรดกแห่ง “ห่วงโซ่คุณค่าที่พระราชินีทรงถักทอด้วยพระหัตถ์และหัวใจ”

“ก่อนที่โลกจะพูดคำว่า Value Chain” พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงสร้างไว้แล้ว” ศิลปาชีพจึงไม่ใช่เพียงงานทอผ้า แต่คือระบบเศรษฐกิจครบวงจร ที่พระองค์ทรงออกแบบให้ชาวบ้านผลิต สร้างมูลค่า และขายได้จริง เป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยแท้ที่ยังคงยืนอยู่ถึงวันนี้”


Author

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ