
สถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลัง “ตื่นทอง” ล่าซื้อทองคำตุนเข้าพอร์ตกันอย่างต่อเนื่อง และ “แตกตื่น” ไปกับราคาทองคำที่เดินหน้าทะยานขึ้นทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ All-time high มาต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยราคาทองโลกขึ้นไปสุดที่ 3,859 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 46 ปี เพิ่มขึ้นมาจากต้นปีถึง 47%!!!!!!!!! ส่งผลให้ราคาทองในประเทศทะยานขึ้นเหนือบาทละ 60,000 บาท!!
โดยทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกจับตา ในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยง (Safe Haven) หรือการเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง และสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาวเพื่อ “รักษามูลค่า” ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้ปีนี้ เป็นปีที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นร้อนแรง
ด้วยการได้รับแรงหนุนสำคัญทั้งจากการคาดหวังการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ ที่ยังคงซื้อทองคำต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-Dollarization)
จากข้อมูลของ Metals Focus พบว่า ตั้งแต่ปี 2022 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิปีละมากกว่า 1,000 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายปีที่ 457 ตัน ในช่วงปี 2016 - 2021 โดยปี 2024 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวมกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ส่งผลให้ปัจจุบันถือครองทองคำคิดเป็น 20% ของทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ปี 2025 ก็ยังคงเข้าซื้อต่อ คาดปีนี้จะซื้อทองเพิ่มอีก 900 ตัน
หากย้อนราคาทองคำโลก 50 ปี (1975–2025) ย้อนหลัง พบว่า ผลตอบแทนของทองคำ จากราคาที่ปรับขึ้น 50 ปี (ปี 1975–2025): ที่ราคาทองปี 1975 เริ่มจาก $160.87 → ล่าสุด $3,859.09 | มีผลตอบแทนรวม +2,298% หรือมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 6.6% ต่อปี (CAGR 6.6%/ปี)
และหากย้อนหลังในรอบ 10 ปี (ปี 2015–2025) ที่ราคาทองโลกอยู่ที่ $1,160.06 → ล่าสุด $3,859.09 | สร้างผลตอบแทนรวม +232% | หรือมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 12.8% ต่อปี CAGR 12.8%/ปี
ล่าสุด ปี 2568 (YTD 2025) นับจากต้นปีหรือเพียง 9 เดือนเท่านั้น ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 47%!!!!!!!!!
จึงมีคำถามว่า ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปได้ถึงไหน เพราะหากดูสถิติย้อนหลังแล้ว ราคาทองคำเฉลี่ยปรับตัวขึ้นทุกปี และมีอัตราการเร่งขึ้นที่เร็วและสูงขึ้นมาก นักวิเคราะห์บางสำนักมองระยะยาวราคาทองโลกจะไปสูงกว่า 5,000 เหรียญฯ ถ้าเป็นจริงได้ตามนี้ ก็อาจได้เห็นราคาทองคำไทยขึ้นไปได้ถึงบาทละ 90,000-100,000 บาท !! แต่จะต้องรอนานแค่ไหน คงไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่หากย้อนกลับไปถามเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าทองคำโลกวันนี้จะมาถึง 3,859.09 เหรียญหรือราคาทองไทยจะขึ้นไปถึงบาทละ 60,000 บาทได้!?!
รายงานตัวจี๊ดสนามข่าว ฉบับนี้ จึงจะนำเสนอมุมมอง การคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำของผู้ค้าทองคำไทย และมุมมองของสถาบันการเงินระดับโลก รวมทั้งปัจจัยบวกที่หนุนราคาทองคำให้ไปต่อ หรือจะพอแค่นี้ จากความเสี่ยงที่จะเข้ามากดดันให้ราคาทองคำชะลอความร้อนแรง!!
ทั้งนี้ สถาบันการเงินต่างประเทศรายใหญ่ ต่างทยอยปรับเป้าหมายราคาทองคำขึ้นแตะ 4,000 ดอลลาร์ โดยสถาบัน Trading Economics คาดราคาทองจะอยู่ใกล้ US$ 3,942/oz ภายในสิ้นไตรมาสนี้ ส่วน InvestingHaven คาดราคาขึ้นไปใกล้ US$ 3,900/oz ด้าน Citibank คาดการณ์ราคาทองแตะ 3,800 ดอลลาร์ ภายใน 3 เดือน และอาจพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์ ขณะที่ Deutsche Bank ประเมินว่าราคาทองคำจะแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในปี 2026
ส่วน Bank of America (BofA) ประเมินว่า ราคาเฉลี่ยรายไตรมาสจะอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2026 เป็นไปในทิศทางเดียวกับ J.P. Morgan และ UBS ที่คาดการณ์ว่าราคาทองพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2026
ขณะที่ Goldman Sachs ปรับเป้าเชิงรุกสูงสุด คาดปี 2025 อาจแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในกลางปี 2026 และมีโอกาสพุ่งถึง 5,000 ดอลลาร์ หากเงินลงทุนเพียง 1% ของตลาดพันธบัตรโลก ไหลเข้าสู่ทองคำ เช่นเดียวกับ The Gold & Silver Club ประเมินกรณีสุดขั้วว่า อาจเห็นทองคำพุ่งถึง US$ 5,000/oz หากแรงซื้อจากธนาคารกลางและนักลงทุนสถาบันยังต่อเนื่อง!!!
แต่สำหรับ HSBC แม้จะปรับเป้าราคาทองคำขึ้น แต่ยังเตือนว่าหากดอลลาร์แข็งค่าหรือ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ย ราคาทองอาจถูกกดดันให้ราคาปรับตัวลงได้
สรุป ภาพรวมทองคำโลกยังอยู่ใน “ทิศทางขาขึ้น” โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสสร้างสถิติใหม่ในช่วง 2–3 ปีข้างหน้า
สำหรับประเทศไทยนั้น การเคลื่อนไหวของราคาทองไทยนอกจากจะอิงทองคำโลกแล้ว ยังขึ้นกับค่าเงินบาทและพฤติกรรมผู้ซื้อภายในประเทศ โดยหากค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลง ก็จะทำให้เราต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการซื้อทองคำ นั่นหมายความว่าราคาทองคำก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกันหากค่าเงินบาทแข็งค่า เราก็ใช้เงินบาทน้อยลง นั่นหมายความว่าเราสามารถซื้อทองคำได้ในราคาที่ถูกลง
บทวิเคราะห์ของผู้ค้าทองคำไทย เช่น InterGold, Ausiris, MTS มักแนะนำกลยุทธ์ “ย่อซื้อ” และจับตาแนวรับ-แนวต้านสำคัญ เช่น 56,400–56,650 บาท และแนวต้าน 56,950–57,050 บาท แต่หากทองคำโลกพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ และเงินบาทยังอ่อน ค่าเงินบาทอาจส่งเสริมให้ราคาทองไทยขยับขึ้นแตะ 60,000–65,000 บาท/บาททองคำ ได้
ล่าสุด บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG ชี้ ราคาทองคำโลกปรับขึ้นมาแล้ว 47% ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้นมาแล้วเกือบ 40% ซึ่งปีนี้ราคาทองคำได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ร้อนแรงอย่างมาก ทำให้เริ่มกังวลว่าทองคำจะเข้าใกล้ภาวะฟองสบู่หรือไม่ แต่หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคแล้ว พบว่าราคาทองคำยังไม่เข้าภาวะฟองสบู่ และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นไปต่อ ทั้งจากแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว แม้ระยะสั้นราคาปรับตัวขึ้นจนเข้าสู่สภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรและแรงขายทางเทคนิคที่จะสลับออกมา
แต่ตราบใดที่ราคายังยืน 3,409 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ หรือ 52,000-51,000 บาทต่อบาททองคำ ยังคงประเมินว่าเป็นการ "พักเพื่อขึ้นต่อ" ประเมินแนวรับแรกไว้ที่ 3,740 - 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 57,600 - 55,400 บาทต่อบาททองคำ จะเป็นจุดพักที่อาจใช้เป็นแนวเข้าซื้อเพิ่มเติม หลังจากราคาทะลุแนวต้านบริเวณ 3,850 YLG ประเมินเป้าหมายถัดไปของปีนี้ ที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 61,600 บาทต่อบาททองคำ
ปี 2568 ราคาทองโลกทำ All-Time High อย่างต่อเนื่องแตะระดับใกล้ 3,900 ดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนสูงถึง 47% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 46 ปี และสถาบันการเงินระดับโลกต่างทยอยปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ฮั่วเซ่งเฮง ยังคงคาดการณ์เป้าหมายราคาทองคำในปี 2568 จากภาพทางเทคนิค หลังราคาทองสามารถ Break out ทะลุกรอบสามเหลี่ยม Bullish Pennant Pattern ที่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่ 3,930 ดอลลาร์ หรือราคาทองคำแท่งประมาณ 60,000 บาทต่อบาททองคำ
ส่วนภาพรวมปี 2569 หากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของนโยบายทรัมป์ยังคงอยู่ และการหมดวาระของนายเจอโรม พาวเวลล์ ช่วงเดือนพฤษภาคม ประธานเฟดคนใหม่ที่แต่งตั้งโดยทรัมป์ จะเข้ามาสร้างแรงกดดันจากการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟดมากขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าและหนุนราคาทองโลก ยิ่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบบริเวณ 4,000 ดอลลาร์ หากคิดเป็นราคาทองแท่งจะอยู่ที่ประมาณบาทละ 61,000 บาท
แต่ในทางกลับกันสิ่งที่ต้องติดตาม คือ หากเริ่มมีข่าวการขายทองจากธนาคารกลาง หรือกองทุน ETF ลดการถือครองลง ในช่วงเวลานั้นก็ต้องระมัดระวังราคาทองปรับตัวลงแรงด้วยเช่นกัน
ฮั่วเซ่งเฮงยังคาดการณ์ระยะสั้นให้ระวังแรงเทขายทางเทคนิคจากการเกิดภาวะ Overbought ซึ่งมีโอกาสเห็นการปรับฐานต่อราว 5–7% กลับไปยังโซน 3,500–3,550 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับที่สำคัญ หากราคามีการปรับลงจริง มองเป็นโอกาสซื้อสะสมเข้าพอร์ต แต่ภาพรวมระยะกลางถึงยาว ทองคำยังได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ทั้งการถือครองของธนาคารกลาง ความอ่อนค่าของดอลลาร์ และภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้การปรับฐานรอบนี้มีโอกาสเป็นเพียงการพักฐานเพื่อสะสม มากกว่าที่จะเป็นการสร้างดอยใหม่อย่างถาวร
นอกจากนี้ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน เพราะเสถียรภาพของทองคำไม่ได้ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง, มีปริมาณจำกัดตามธรรมชาติ, และสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ค่าเงินอ่อนตัว หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินได้ นักลงทุนมืออาชีพจึงมักแนะนำให้จัดสรรทองคำ 5–15% ของพอร์ตเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและการป้องกันความเสี่ยง
ฝ่ายวิเคราะห์ GCAP GOLD แนะกลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้น รอย่อซื้อ 3,835 - 3,815 ดอลลาร์/ออนซ์ รับปัจจัยหนุนเชิงบวกจากภาวะ US Government Shutdown ในระยะนี้มองว่าเหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น โดยมีแนวรับที่ 3,835 - 3,815 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราคาทองคำไทย ประมาณ 58,700 - 58,500 บาท) และมีแนวต้านทำกำไรที่ 3,885-3,900 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราคาทองคำไทยประมาณ 59,600-59,800 บาท)
โดยการเข้าซื้อรอบนี้ควรเคร่งครัดในการกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ 3,790 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราคาทองคำไทยประมาณ 58,000) หากหลุดระดับดังกล่าวควรชะลอการเข้าซื้อ
กล่าวโดยสรุป สำหรับความเสี่ยงหลักๆ ที่จะเป็นตัวกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลงมีดังนี้
ส่วนปัจจัยที่หนุนราคาทองคำระยะกลาง-ยาว (3–5 ปี) ว่าราคาทองจะไปถึงดาวอังคารหรือไม่ มีดังนี้
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สะท้อนความไม่แน่นอนของโลก และในรอบปี 68-69 หรือปี 2025–2026 นี้ แนวโน้มยังอยู่ในทิศทางบวก โดยมีโอกาสแตะ US$ 4,000/oz ในตลาดโลก และ 60,000 บาท/บาททองคำ ในไทย หากปัจจัยหนุนยังดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากนโยบายดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่า และแรงขายทำกำไร ยังคงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง
ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป ผู้เขียนเห็นว่า หากมีกำลังหรือมีเงินออม ควรซื้อทองคำเพื่อสะสมระยะยาวในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่เกินกำลังตัวเอง ส่วนนักลงทุนควรใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัว และขายบางส่วนเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน เพื่อบริหารความเสี่ยง
ที่สำคัญต้องติดตามปัจจัยสำคัญอย่างทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ รวมทั้งค่าเงินบาทในประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะสุดท้ายแล้ว ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อ “รวยเร็ว” แต่เป็นเครื่องมือปกป้องความมั่งคั่งในระยะยาว และการเข้าใจทั้งโอกาสและความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน!!