ยังคิดว่า AI เป็นแค่เทรนด์? ธุรกิจคู่แข่งเพิ่มรายได้ 20% ไปแล้ว

Experts pool

Columnist

Tag

ยังคิดว่า AI เป็นแค่เทรนด์? ธุรกิจคู่แข่งเพิ่มรายได้ 20% ไปแล้ว

Date Time: 29 ก.ย. 2568 19:03 น.

Video

Sony ทำได้ยังไง ? หาเงินจากทุกสิ่ง แบบไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร | Digital Frontiers EP.51

Summary

ธุรกิจค้าปลีกไทยควรเร่งนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุน โดย McKinsey ระบุว่าการใช้ AI อาจเพิ่มรายได้สูงสุด 20% และลดต้นทุนการดำเนินงาน 25% ขณะที่มูลค่าตลาด AI ค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิกคาดโตจาก 724 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็นราว 88 พันล้านดอลลาร์ในปี 2033 เทคโนโลยีสำคัญได้แก่ Demand Forecasting, Chatbot, Dynamic Pricing, Visual Search และ Personalized Recommendation โดยควรเริ่มจากการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบสูงสุดและเลือกพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจตลาดไทย.

Latest


คุณเป็นหนึ่งคนที่ยังคิดว่า AI เป็นแค่เทรนด์อยู่ใช่ไหม?

ขณะที่บรรดาธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก รวมถึงในไทย เริ่มใช้ AI เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนได้เป็นกอบเป็นกำ ธุรกิจที่ยังคิดว่า “ลูกค้าไทยไม่เอาหรอก” หรือ “ทำแบบเดิมก็ขายได้” อาจต้องเจอกับความจริงที่โหดร้ายเร็วกว่าที่คิด เพราะตลาดค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

จากข้อมูลของ McKinsey & Co. ธุรกิจที่นำ AI มาใช้สามารถ เพิ่มรายได้ได้ถึง 20% และ ลดต้นทุนการดำเนินงานลงไป 25% ตัวเลขที่มหาศาลนี้สะท้อนถึงช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างธุรกิจที่พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ กับธุรกิจที่ยังยึดติดกับวิธีการแบบเดิม 

AI ไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น เพราะมูลค่าตลาด AI สำหรับธุรกิจค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิกกำลังพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 724 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 คาดว่าจะแตะแปดหมื่นแปดพันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2033

กราฟแสดงการเติบโตของตลาด AI สำหรับธุรกิจค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิก
กราฟแสดงการเติบโตของตลาด AI สำหรับธุรกิจค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิก

ไม่ใช่แค่ทฤษฎี! AI แก้ Pain Points ที่ธุรกิจค้าปลีกไทยเจออยู่ทุกวัน

ธุรกิจค้าปลีกของคุณกำลังเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ใช่ไหม? สต๊อกจมเพราะสินค้าขายไม่ออก พนักงานไม่พอจนลูกค้าต้องรอนาน หรือตั้งราคาแบบเดิม ๆ จนเสียโอกาสในการทำกำไร ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น Pain Points ที่ฝังลึกในวงการค้าปลีกไทยมานาน ถึงเวลาแล้วที่ AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือที่แก้ไขได้อย่างแท้จริง

1. จบปัญหาสต๊อกผิดพลาดด้วย AI Demand Forecasting

ลองนึกภาพว่าร้านของคุณรู้ล่วงหน้าว่าเสื้อตัวไหนจะขายดีช่วงไหน หรือสินค้าตัวไหนต้องเตรียมสต๊อกเพิ่มก่อนเทศกาลสงกรานต์ AI Demand Forecasting ทำหน้าที่เป็น “นักพยากรณ์สินค้าจากข้อมูล” ที่แม่นยำกว่าการที่มนุษย์ประเมินเองแบบคร่าว ๆ หลายเท่า

ระบบนี้วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายในอดีต รูปแบบการซื้อตามฤดูกาล รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศ เทศกาล และโปรโมชัน จากนั้น Machine Learning จะประมวลผลทุกข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำถึง 90% 

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด คือการลดสินค้าคงคลังได้ 20-50%  จบปัญหาทุนจม และลดการสูญเสียจากสินค้าล้าสมัยหรือเสียหายได้ถึง 30% เหมือนกับกรณีของ More Retail - ร้านค้าปลีกอาหารและของชำชั้นนำในอินเดีย ที่เพิ่มความแม่นยำจาก 24% เป็น 76% ด้วย Amazon Forecast 

2. AI Chatbot แก้ปัญหาการบริการไม่ทั่วถึง

ปัญหาการบริการลูกค้าที่ไม่ทั่วถึงเป็นจุดเจ็บของธุรกิจค้าปลีกไทยมาอย่างยาวนาน พนักงานไม่พอ เวลาจำกัด แต่ลูกค้าต้องการคำตอบตลอด 24 ชั่วโมง

ปัจจุบันเทคโนโลยี AI Chatbot ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมตอบคำถามธรรมดา แต่ถูกพัฒนาให้เข้าใจบริบทของการสื่อสารด้วยภาษาไทย ให้การสื่อสารเป็นธรรมชาติเหมือนคุยกับคนจริง ผลลัพธ์คือการลดค่าใช้จ่ายด้าน Customer Service และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้พร้อมกัน เพราะให้บริการลูกค้าได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวัน

3. Dynamic Pricing จบปัญหาการตั้งราคาแบบเก่า

การตั้งราคาแบบเก่าที่ใช้ “สวย ๆ กลม” หรือคำนวณจากต้นทุนบวกกำไรเปอร์เซ็นต์คง ทำให้พลาดโอกาสหาเงินในช่วงที่ความต้องการสูง หรือตั้งราคาสูงเกินไปจนลูกค้าไปซื้อที่อื่น

AI Dynamic Pricing เปรียบเหมือนการมี “นักวิเคราะห์ราคา” ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด ดูว่าคู่แข่งขายราคาเท่าไร ระดับสต๊อกอยู่ที่เท่าไร แล้วปรับราคาแบบ Real-time ซึ่งธุรกิจค้าปลีกเจ้าใหญ่ของโลกอย่าง Amazon ใช้ระบบนี้ปรับราคาสินค้าล้านรายการทุกวัน ส่งผลให้รายได้เพิ่มถึง 20% จากการตั้งราคาที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

AI Technologies เครื่องมือแห่งยุค เปลี่ยนโฉมธุรกิจค้าปลีกไทย

Visual Search เทรนด์ "แคปแล้วทัก" เพื่อซื้อสินค้า

เทรนด์ที่ Generation Y และ Z ชื่นชอบคือการถ่ายภาพสินค้าที่เห็นแล้วหาซื้อ AI Visual Search ช่วยให้ลูกค้าส่งรูปภาพมา แล้วระบบจะค้นหาสินค้าที่คล้ายกันในสต๊อกและเสนอขายทันที

เทคโนโลยีนี้ใช้ Transfer Learning ที่ได้เรียนรู้จากฐานข้อมูลภาพนับล้าน สามารถจดจำคุณสมบัติต่าง ๆ จากสี ลวดลาย รูปทรง และเชื่อมโยงกับสินค้าในระบบ - Timberland Thailand ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้ AI Visual Search ในการขายรองเท้า

Personalized Recommendation ให้คำแนะนำที่ตรงใจ

ระบบแนะนำสินค้าด้วย AI วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ การเรียกดูสินค้า และความชื่นชอบของลูกค้าแต่ละคน เพื่อเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการมากที่สุด

ข้อมูลชี้ว่า 91% ของผู้บริโภคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มซื้อจากแบรนด์ที่ให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ อย่าง Central Group เองเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ โดยเพิ่มการซื้อซ้ำ 40% และการขายข้ามหมวดหมู่ 35% 

ลงทุน AI ใช้เวลานานไหม? และ ROI ที่ชัดเจนคืออะไร?

คำถามที่ผู้บริหารหลายคนกังวลคือ “AI แพงไหม ใช้เวลานานไหม และพนักงานจะใช้เป็นไหม?”

การศึกษาพบว่าการนำ AI มาใช้ในธุรกิจที่วางแผนมาอย่างดี สามารถเห็นผลภายใน 12 สัปดาห์ และเห็น ROI (Return on Investment) ภายใน 6 เดือน ส่วนค่าใช้จ่ายก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนก้อนใหญ่เสมอไป เพราะปัจจุบันมีบริการในรูปแบบ AI-as-a-Service ที่ทำให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างชัดเจนคือ Krungsri Consumer ที่ใช้ RPA หุ่นยนต์ซอฟต์แวร์และ AI เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 85% และประหยัดเวลาไปได้ถึง 5,500 ชั่วโมงต่อเดือน หรือเทียบเท่ากับพนักงานเต็มเวลา 30 คนต่อเดือน ช่วยให้พนักงานกว่า 6,000 คนของไปโฟกัสงานที่สำคัญที่สุด นั่นคือการบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า 

อย่างไรก็ตามองค์กรควรเริ่มต้นใช้ AIจากปัญหาที่สำคัญที่สุดและเลือกพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจ แน่นอนว่า อย่าพยายามนำ AI มาใช้กับทุกส่วนพร้อมกัน แต่ควรเริ่มจาก แก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อธุรกิจมากที่สุด ก่อน เช่น ถ้าปัญหาใหญ่คือสินค้าขาดสต๊อก ให้เริ่มจาก AI Demand Forecasting หรือถ้าปัญหาคือการตอบลูกค้าไม่ทัน ให้เริ่มจาก AI Chatbot ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือก พาร์ตเนอร์ AI ที่เข้าใจธุรกิจ เข้าใจตลาดไทย พฤติกรรมผู้บริโภค และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง 




Author

ปริชญ์ รังสิมานนท์

ปริชญ์ รังสิมานนท์
ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด