
คุณเป็นหนึ่งคนที่ยังคิดว่า AI เป็นแค่เทรนด์อยู่ใช่ไหม?
ขณะที่บรรดาธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก รวมถึงในไทย เริ่มใช้ AI เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนได้เป็นกอบเป็นกำ ธุรกิจที่ยังคิดว่า “ลูกค้าไทยไม่เอาหรอก” หรือ “ทำแบบเดิมก็ขายได้” อาจต้องเจอกับความจริงที่โหดร้ายเร็วกว่าที่คิด เพราะตลาดค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
จากข้อมูลของ McKinsey & Co. ธุรกิจที่นำ AI มาใช้สามารถ เพิ่มรายได้ได้ถึง 20% และ ลดต้นทุนการดำเนินงานลงไป 25% ตัวเลขที่มหาศาลนี้สะท้อนถึงช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างธุรกิจที่พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ กับธุรกิจที่ยังยึดติดกับวิธีการแบบเดิม
AI ไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น เพราะมูลค่าตลาด AI สำหรับธุรกิจค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิกกำลังพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 724 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 คาดว่าจะแตะแปดหมื่นแปดพันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2033
ธุรกิจค้าปลีกของคุณกำลังเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ใช่ไหม? สต๊อกจมเพราะสินค้าขายไม่ออก พนักงานไม่พอจนลูกค้าต้องรอนาน หรือตั้งราคาแบบเดิม ๆ จนเสียโอกาสในการทำกำไร ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น Pain Points ที่ฝังลึกในวงการค้าปลีกไทยมานาน ถึงเวลาแล้วที่ AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือที่แก้ไขได้อย่างแท้จริง
1. จบปัญหาสต๊อกผิดพลาดด้วย AI Demand Forecasting
ลองนึกภาพว่าร้านของคุณรู้ล่วงหน้าว่าเสื้อตัวไหนจะขายดีช่วงไหน หรือสินค้าตัวไหนต้องเตรียมสต๊อกเพิ่มก่อนเทศกาลสงกรานต์ AI Demand Forecasting ทำหน้าที่เป็น “นักพยากรณ์สินค้าจากข้อมูล” ที่แม่นยำกว่าการที่มนุษย์ประเมินเองแบบคร่าว ๆ หลายเท่า
ระบบนี้วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายในอดีต รูปแบบการซื้อตามฤดูกาล รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศ เทศกาล และโปรโมชัน จากนั้น Machine Learning จะประมวลผลทุกข้อมูลเหล่านี้ออกมาเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำถึง 90%
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด คือการลดสินค้าคงคลังได้ 20-50% จบปัญหาทุนจม และลดการสูญเสียจากสินค้าล้าสมัยหรือเสียหายได้ถึง 30% เหมือนกับกรณีของ More Retail - ร้านค้าปลีกอาหารและของชำชั้นนำในอินเดีย ที่เพิ่มความแม่นยำจาก 24% เป็น 76% ด้วย Amazon Forecast
2. AI Chatbot แก้ปัญหาการบริการไม่ทั่วถึง
ปัญหาการบริการลูกค้าที่ไม่ทั่วถึงเป็นจุดเจ็บของธุรกิจค้าปลีกไทยมาอย่างยาวนาน พนักงานไม่พอ เวลาจำกัด แต่ลูกค้าต้องการคำตอบตลอด 24 ชั่วโมง
ปัจจุบันเทคโนโลยี AI Chatbot ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมตอบคำถามธรรมดา แต่ถูกพัฒนาให้เข้าใจบริบทของการสื่อสารด้วยภาษาไทย ให้การสื่อสารเป็นธรรมชาติเหมือนคุยกับคนจริง ผลลัพธ์คือการลดค่าใช้จ่ายด้าน Customer Service และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้พร้อมกัน เพราะให้บริการลูกค้าได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวัน
3. Dynamic Pricing จบปัญหาการตั้งราคาแบบเก่า
การตั้งราคาแบบเก่าที่ใช้ “สวย ๆ กลม” หรือคำนวณจากต้นทุนบวกกำไรเปอร์เซ็นต์คง ทำให้พลาดโอกาสหาเงินในช่วงที่ความต้องการสูง หรือตั้งราคาสูงเกินไปจนลูกค้าไปซื้อที่อื่น
AI Dynamic Pricing เปรียบเหมือนการมี “นักวิเคราะห์ราคา” ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด ดูว่าคู่แข่งขายราคาเท่าไร ระดับสต๊อกอยู่ที่เท่าไร แล้วปรับราคาแบบ Real-time ซึ่งธุรกิจค้าปลีกเจ้าใหญ่ของโลกอย่าง Amazon ใช้ระบบนี้ปรับราคาสินค้าล้านรายการทุกวัน ส่งผลให้รายได้เพิ่มถึง 20% จากการตั้งราคาที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
Visual Search เทรนด์ "แคปแล้วทัก" เพื่อซื้อสินค้า
เทรนด์ที่ Generation Y และ Z ชื่นชอบคือการถ่ายภาพสินค้าที่เห็นแล้วหาซื้อ AI Visual Search ช่วยให้ลูกค้าส่งรูปภาพมา แล้วระบบจะค้นหาสินค้าที่คล้ายกันในสต๊อกและเสนอขายทันที
เทคโนโลยีนี้ใช้ Transfer Learning ที่ได้เรียนรู้จากฐานข้อมูลภาพนับล้าน สามารถจดจำคุณสมบัติต่าง ๆ จากสี ลวดลาย รูปทรง และเชื่อมโยงกับสินค้าในระบบ - Timberland Thailand ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้ AI Visual Search ในการขายรองเท้า
Personalized Recommendation ให้คำแนะนำที่ตรงใจ
ระบบแนะนำสินค้าด้วย AI วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ การเรียกดูสินค้า และความชื่นชอบของลูกค้าแต่ละคน เพื่อเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการมากที่สุด
ข้อมูลชี้ว่า 91% ของผู้บริโภคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มซื้อจากแบรนด์ที่ให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ อย่าง Central Group เองเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ โดยเพิ่มการซื้อซ้ำ 40% และการขายข้ามหมวดหมู่ 35%
คำถามที่ผู้บริหารหลายคนกังวลคือ “AI แพงไหม ใช้เวลานานไหม และพนักงานจะใช้เป็นไหม?”
การศึกษาพบว่าการนำ AI มาใช้ในธุรกิจที่วางแผนมาอย่างดี สามารถเห็นผลภายใน 12 สัปดาห์ และเห็น ROI (Return on Investment) ภายใน 6 เดือน ส่วนค่าใช้จ่ายก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนก้อนใหญ่เสมอไป เพราะปัจจุบันมีบริการในรูปแบบ AI-as-a-Service ที่ทำให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างชัดเจนคือ Krungsri Consumer ที่ใช้ RPA หุ่นยนต์ซอฟต์แวร์และ AI เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 85% และประหยัดเวลาไปได้ถึง 5,500 ชั่วโมงต่อเดือน หรือเทียบเท่ากับพนักงานเต็มเวลา 30 คนต่อเดือน ช่วยให้พนักงานกว่า 6,000 คนของไปโฟกัสงานที่สำคัญที่สุด นั่นคือการบริการที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ตามองค์กรควรเริ่มต้นใช้ AIจากปัญหาที่สำคัญที่สุดและเลือกพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจ แน่นอนว่า อย่าพยายามนำ AI มาใช้กับทุกส่วนพร้อมกัน แต่ควรเริ่มจาก แก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อธุรกิจมากที่สุด ก่อน เช่น ถ้าปัญหาใหญ่คือสินค้าขาดสต๊อก ให้เริ่มจาก AI Demand Forecasting หรือถ้าปัญหาคือการตอบลูกค้าไม่ทัน ให้เริ่มจาก AI Chatbot ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือก พาร์ตเนอร์ AI ที่เข้าใจธุรกิจ เข้าใจตลาดไทย พฤติกรรมผู้บริโภค และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง