
ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง แตะระดับ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 แม้เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง เงินเฟ้อที่ติดลบ และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ
INVX มองว่า มีเหตุผลสำคัญ 4 ประการที่อธิบายการแข็งค่าของเงินบาทได้
ประการแรก สภาพคล่องในไทยที่ตึงตัวกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่ง หากดูข้อมูลการเติบโตของ M2 (ปริมาณเงิน) ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2568 ไทยขยายตัวเพียง 3.6% ต่อปี ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เปรียบเทียบกับจีนที่ 8.8% อินเดียที่ 12.2% และเวียดนามในช่วงเดียวกันที่เกิน 6% บ่งชี้นโยบายการเงินที่เข้มงวด ซึ่งเป็นในทิศทางนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในอดีต การเติบโตของปริมาณเงิน (M2) ในช่วง 2012-2024 อยู่ที่เฉลี่ยเพียง 5.3% ต่อปี ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชีย เปรียบเทียบกับเวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่มีอัตราการเติบโตของ M2 อยู่ในช่วง 9-15% ต่อปี
โดยในหลักการทางเศรษฐศาสตร์ หากประเทศหนึ่งประเทศใด (ประเทศไทย) มีการขยายตัวของปริมาณเงินน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ จะแข็งค่าขึ้นในระยะต่อไป การตึงตัวเหล่านี้เองทำให้ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งค่าขึ้นสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2011 ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของนโยบายการเงินไทยที่เน้นดูแลเสถียรภาพเป็นหลัก
ประการที่สอง การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่เติบโตกว่า 30% ต่อปี จากข้อมูลการค้าทองคำ ซึ่งการส่งออกทองคำของไทยในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมาเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ โดยการส่งออกไปกัมพูชาคิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกทองคำทั้งหมด ปัจจัยพิเศษนี้ช่วยสร้างกระแสเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอาเซียนระดับประเทศท่านหนึ่งระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา จะมีการนำเงินตราต่างประเทศแปลงเป็นเงินบาท และซื้อทองคำในรูปแบบทองก้อน 1 กิโลกรัม และนำออกนอกราชอาณาจักร
ประการที่สาม สัญญาณจาก Jackson Hole และตัวเลขสหรัฐที่แย่ การแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เจอโรม พาวเวลล์ในงานสัมมนา Jackson Hole เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่งสัญญาณ Dovish อย่างชัดเจน พร้อมกับตัวเลขตลาดแรงงานทั้ง JOLTS, ADP, NFP ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดอย่างมาก ทำให้ตลาดมองโอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนกันยายนอยู่ที่ 117% ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลงถึง 10.2% ตั้งแต่ต้นปี
ประการสุดท้าย ความเชื่อมั่นจากทีมเศรษฐกิจใหม่ การได้ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ คุณวิทัย รัตนากร ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องการประสานงานระหว่างนโยบายการคลังและการเงินช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด
จากปัจจัยเหล่านี้ InnovestX คาดการณ์ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 32.8 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2025 และ 32.2 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2026 โดยคาดว่าจะแตะระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ปลายปีนี้ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทจะกระทบกับผู้ส่งออกและผู้ลงทุนหุ้นต่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทอาจกระทบรายได้เมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท ขณะที่ผู้นำเข้าและผู้ที่ต้องจ่ายเป็นดอลลาร์กลับได้ประโยชน์
อย่างไรก็ตาม หากทิศทางนโยบายการเงินการคลังในไทยมีการสอดประสานกัน อาจทำให้เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยจุดเด่นของการทำงานร่วมกันระหว่าง ดร.เอกนิติ และ คุณวิทัย คือความเข้าใจร่วมกันในหลักการประสานงานระหว่างนโยบายการคลังและการเงิน
โดย ดร. เอกนิติเคยเขียนไว้ในหนังสือ "โดมิโนเอฟเฟคต์" ปี 2552 ว่า "รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจทุกอย่างมาสอดประสานต้านวิกฤติในอนาคต โดยเฉพาะนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน" ขณะที่คุณวิทัยมีประสบการณ์ตรงในการนำธนาคารออมสินสู่การเป็น "ธนาคารเพื่อสังคม" และมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่าขาดความสมดุล ระหว่างภาคสถาบันการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริง โดยธุรกิจมีหนี้สิน ปิดกิจการ ยอดหนี้ครัวเรือนสูง มีความเหลื่อมล้ำสูง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่หากนโยบายการเงินการคลังมีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น เงินบาทอาจลดระดับการแข็งค่าลงได้บ้าง
ท่ามกลางแนวโน้มเงินบาทแข็งค่า USD Futures บน TFEX จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความเสี่ยง ด้วยขนาดสัญญา 1,000 ดอลลาร์ต่อสัญญา เงินวางหลักประกันเพียงประมาณ 945 บาท สามารถเทรดได้ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน โดยหากคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อไปตามการคาดการณ์ของ InnovestX ที่ 32.8 บาทต่อดอลลาร์ ในปี 2025 และ 32.3 บาทในปี 2026 ผู้ส่งออกและนักลงทุนหุ้นต่างประเทศสามารถเปิด Short Position เพื่อป้องกันความเสี่ยง ในทางตรงกันข้าม หากมองว่าเงินบาทจะอ่อนค่า สามารถเปิด Long Position เพื่อเก็งกำไรได้
ความแข็งแกร่งของเงินบาทในปัจจุบันมาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น การกระจายการลงทุนและการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจพลวัตของตลาดและการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดโลก
ขอให้นักลงทุนโชคดี
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้