ประเทศในวงแหวนแห่งไฟ…อยู่อย่างไร?

Experts pool

Columnist

Tag

ประเทศในวงแหวนแห่งไฟ…อยู่อย่างไร?

Date Time: 13 มิ.ย. 2568 18:10 น.

Video

เบื้องหลังการลงทุนคริปโตของ นาโอมิ นิชิยาม่า เริ่มต้นเพราะใครกันนะ? l Money Secret EP.5

Summary

เมื่อแผ่นดินไหวไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศ บทเรียนจากประเทศที่อยู่ในวงแหวนแห่งไฟ ทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา สู่การเตรียมพร้อมที่คนไทยรู้แล้วว่าแผ่นดินไหวไม่ใช่ภัยไกลตัวอีกต่อไป

Latest


เหตุการณ์ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมาอย่างไม่คาดฝัน คือสัญญาณเตือนอันหนักแน่นว่าประเทศไทยไม่อาจประมาทได้อีกต่อไป เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้คนไปตลอดกาล

ในภาวะที่ “ความไม่ประมาท” กลายเป็นนโยบายแห่งความอยู่รอด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จึงได้จัดทำกรณีศึกษา “การรับมือแผ่นดินไหวในต่างประเทศ” โดยหยิบยกบทเรียนจากประเทศต้นแบบหลายประเทศ ในที่นี้ขอหยิบยก ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ชัดเจน แตกต่าง แต่ทรงพลังในแบบของตนมาให้ดูเป็นตัวอย่าง

ญี่ปุ่นไม่ปล่อยให้โชคชะตาตัดสินความอยู่รอด

ญี่ปุ่นมีกฎหมายว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Countermeasures Basic Act) และแผนแม่บท National Resilience Plan กลายเป็นหัวใจหลักของระบบที่ทำงานแบบไร้รอยต่อตั้งแต่ระดับชาติถึงชุมชน

การฝึกซ้อมแผ่นดินไหวในโรงเรียนและองค์กรต่างๆ ถูกกำหนดไว้เป็นกิจวัตร ไม่ใช่แค่กิจกรรมรายปี มีแจ้งเตือนทันที ก่อนพื้นจะสั่น โดยญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าได้จริง EEW (Earthquake Early Warning) จากกรมอุตุนิยมวิทยาช่วยให้ประชาชนรู้ตัวล่วงหน้าเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งเพียงพอให้หลบใต้โต๊ะ ตัดระบบไฟ หรือหยุดรถไฟความเร็วสูง ขณะเดียวกัน ระบบ J-Alert ยังทำงานร่วมกับสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และอุปกรณ์มือถือ เพื่อกระจายข้อมูลฉุกเฉินแบบทันทีทั่วประเทศ

อาคารยืดหยุ่น…ไม่ใช่แค่แข็งแรง

มาตรฐานการก่อสร้างในญี่ปุ่นเข้มข้นถึงระดับที่แผ่นดินไหวระดับ 6–7 แมกนิจูด ดูจะไม่ทำให้อาคารถล่ม หากโครงสร้างได้มาตรฐาน รัฐบาลยังผลักดันให้เจ้าของอาคารเก่าปรับปรุงอาคารให้สามารถต้านแรงสั่นสะเทือนได้ดีขึ้นถึง 50% และมีนวัตกรรม “การออกแบบเพื่อให้โยกตามแรงสั่น” กลายเป็นแนวคิดหลักของวิศวกรรมต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่

จากเด็กนักเรียนถึงครัวเรือน ทุกคนต้องพร้อม

การฝึกอบรมไม่ได้หยุดแค่ในห้องเรียน ประชาชนทั่วประเทศถูกฝึกให้ซ้อมหนีภัยปีละ 1 ครั้ง ขณะเดียวกันก็ได้รับการสนับสนุนให้จัดเตรียมชุดฉุกเฉินภายในบ้าน พร้อมวางแผนการอพยพร่วมกันในครอบครัว หลักคิดง่ายๆ คือ อย่ารอให้ใครมาช่วย ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน

เมื่อเกิดเหตุ การบริหารจัดการแบบมืออาชีพ ญี่ปุ่นมีหน่วยเฉพาะกิจ และหน่วยช่วยเหลือในพื้นที่ที่พร้อมเคลื่อนตัวทันที มีการใช้ “รายงานสถานการณ์ต่อเนื่อง” ที่รวบรวมจากพื้นที่จริงตลอดเวลา “Reconstruction Agency” ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลการฟื้นฟูในระดับมหภาค แม้จะต้องรับมือกับผู้พลัดถิ่นนับล้านครัวเรือน แต่ระบบการจัดการข้อมูลของญี่ปุ่นก็สามารถวางแผนและบริหารทรัพยากรได้แม่นยำ

สรุปโมเดลของญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ “เอาตัวรอด” แต่คือ “อยู่รอดอย่างยั่งยืน” การรับมือแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นคือการบูรณาการระหว่าง กฎหมาย เทคโนโลยี วิศวกรรม วัฒนธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม พวกเขาไม่ได้รอให้เกิดภัยก่อนจะวางแผนแต่เขียนแผนก่อนที่ภัยจะเกิด และฝึกซ้อมจนแผนกลายเป็นธรรมชาติของชีวิต

สำหรับประเทศไทย การนำแนวคิดของญี่ปุ่นมาปรับใช้ อาจเริ่มต้นได้จากคำถามง่ายๆ ว่า “เราซ้อมพอหรือยัง?” เพราะภัยธรรมชาติไม่มีตารางเวลา แต่เราสามารถมีแผนรับมือล่วงหน้าได้เสมอ

อเมริกาสอนอะไรเรา? บทเรียนจากอีกฟากโลกเรื่องรับมือแผ่นดินไหว

ในอีกฟากหนึ่งของโลก สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงที่ต้องอยู่ร่วมกับแรงสั่นสะเทือนของธรรมชาติเช่นกัน และที่นั่น พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ “หวังว่าจะไม่เกิด” แต่เลือกที่จะ “เตรียมตัวให้พร้อม” อย่างรอบด้าน

เริ่มจากห้องเรียน สร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่เยาว์วัย ทุกเดือนตุลาคมจะมีภาพเด็กนักเรียนชาวอเมริกันนับล้านคนซ้อมแผ่นดินไหวพร้อมกันในกิจกรรม “The Great California ShakeOut” กิจกรรมนี้ไม่ใช่เพียงแค่การหลบใต้โต๊ะ หากแต่เป็นการปลูกฝังความรู้ ความเข้าใจ และพฤติกรรมการเอาตัวรอดอย่างเป็นระบบตั้งแต่วัยเรียน พร้อมกับหน่วยงานวิจัยด้านภัยพิบัติอย่าง “National Earthquake Hazards Reduction Program” ที่ทำงานเบื้องหลังอย่างแข็งขัน

ป้องกันล่วงหน้า มากกว่าตามซ่อม

ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สหรัฐอเมริกาออกแบบ “มาตรฐานอาคารใหม่” (Improved Building Design – IBD) ซึ่งช่วยลดความเสียหายจากแผ่นดินไหวได้ถึง 6–7 เท่า ไม่เพียงแต่เน้นอาคารใหม่ แต่ยังมีนโยบายเร่งรัดเสริมความแข็งแรงให้กับอาคารเก่าที่ยังมีความเสี่ยงสูง

การตรวจจับแจ้งเตือนการเกิดแผ่นดินไหวของสหรัฐอเมริกามีเครือข่าย ShakeAlert sensor Network ซึ่งมีสถานีตรวจจับคลื่นไหวสะเทือนกว่า 1,000 แห่ง และส่งสัญญาณฉุกเฉินไปยังโทรศัพท์มือถือโดยตรงผ่าน Wireless Emergency Alerts รวมถึงแอปพลิเคชัน Myshake และระบบเตือนภัยของแต่ละรัฐ

กรณี ตึก สตง. ถล่ม เป็นสิ่งเตือนใจชัดเจนว่า “การประมาท” คือภัยเงียบที่ร้ายแรงที่สุด หากเรามองเห็นคุณค่าของบทเรียนจากสหรัฐอเมริกา และกล้าหยิบมาปรับใช้ในแบบที่เหมาะสมกับบริบทของไทย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน “สังคมเสี่ยง” ให้เป็น “สังคมพร้อม” แผ่นดินไหวอาจควบคุมไม่ได้ แต่ความเสียหายควบคุมได้ ถ้าเราไม่ชะล่าใจ

แล้วไทยควรไปทางไหน?

คำตอบคือ ไม่ต้องรอให้มีภัยใหญ่ก่อนถึงจะเริ่มเตรียมตัว ตึก สตง.ที่ถล่ม สอนให้รู้ว่า แผ่นดินสั่น…แต่อย่าให้สังคมสั่นคลอน แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนหลักของโลก แต่ใช่ว่าเราจะปลอดภัยจากแผ่นดินไหวเสียทีเดียว “เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่… แต่เรารู้ได้ว่า ยังไม่พร้อมพอ”

เบื้องต้นมีแนวทาง 4 ประการที่ สภาพัฒน์ เสนอให้ “คนไทยควรทำ” เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแผ่นดินไหวในอนาคต

1. ปรับปรุงอาคาร…เพื่อปกป้องชีวิต ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือน แม้ในพื้นที่ที่ความเสี่ยงดูเหมือนต่ำ อาคารเก่าจำนวนมากยังไม่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งอาจกลายเป็นกับดักที่คร่าชีวิตในยามเกิดภัย

2. ระบบเตือนภัย…ไม่ใช่ของหรู แต่คือของจำเป็น เทคโนโลยีในวันนี้สามารถแจ้งเตือนได้ก่อนแรงสั่นถึงตัว ข้อเสนอจึงชัดเจนว่า ไทยต้องพัฒนาระบบป้องกันภัยให้เข้มแข็ง และกระจายครอบคลุมกว่านี้

3. แผนช่วยเหลือและฟื้นฟู…ต้องเขียนไว้ก่อน ไม่ใช่ค่อยคิดทีหลัง เวลาภัยพิบัติมาเยือน…คือเวลาที่ความโกลาหลเข้าครอบงำ เราจึงต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ว่าจะเคลื่อนย้ายผู้คนอย่างไร เปิดศูนย์พักพิงที่ไหน ประสานหน่วยงานไหน และฟื้นฟูอย่างไรในระยะยาว สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกเขียนในวันที่เกิดภัย แต่ต้องถูกวางไว้ล่วงหน้า ประเทศไทยจึงควรมี “แผนฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหว” ที่ไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่ฝึกซ้อมได้จริง ใช้งานได้จริง

4. ความรู้ + การฝึกซ้อม คือ เครื่องมือที่ประชาชนทุกคนต้องมี ประชาชนจะรับมือแผ่นดินไหวได้อย่างไร ถ้ายังไม่รู้ว่าควรทำอะไรเมื่อพื้นเริ่มสั่น? ความรู้และการฝึกซ้อมคือสิ่งที่รัฐควรปลูกฝัง ไม่ใช่เพียงแค่ปีละครั้ง หรือในโรงเรียนบางแห่ง แต่ต้องกระจายสู่ชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น โรงงาน ห้างสรรพสินค้า และครอบครัว

ถ้าคนญี่ปุ่นซ้อมหนีภัยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา คนอเมริกันเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน คนไทยก็ควรทำให้ได้เช่นกัน ที่ผ่านมาเราอาจยังทำไม่พอ แต่วันนี้รู้แล้วว่า “ต้องเริ่ม”

คำถามคือ…จะรอให้พื้นดินสั่นก่อนหรือจะแข็งแรงก่อนที่มันจะเกิด? เพราะในวันที่ภัยธรรมชาติมาเยือน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า แต่ทุกคนมีสิทธิ์ “เตรียมพร้อม” ตั้งแต่วันนี้

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ