สิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับการเริ่มต้นเทรด Options คือ มุมมองต่อแนวโน้มของสินค้าอ้างอิงในอนาคตว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด เพราะจะได้เลือกสิทธิของ Options ได้ตรงตามความต้องการ
จากบทความ “ปูพื้นฐานทำความเข้าใจใน Options” ผู้เขียนได้พาทุกท่านไปรู้จักกับตราสารที่เรียกว่า Options และรูปแบบการซื้อขายพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น Long Call, Long Put, Short Call และ Short Put รวมทั้งผลกำไร/ขาดทุนจากการซื้อขายในแต่ละรูปแบบกันมาแล้ว บทความในตอนนี้จะมาต่อยอดความรู้ความเข้าใจใน Options โดยจะเน้นไปที่วิธีการเลือก Options สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มต้นสนใจในการเทรด ว่าจะมีวิธีเลือกอย่างไร และจะเน้นไปที่รูปแบบการซื้อขายพื้นฐานเฉพาะการ Long Options เท่านั้น และเป็นการถือครองจนถึงวันหมดอายุ เพราะคิดว่าเหมาะสมกับนักลงทุนมือใหม่มากกว่า
หน้าจอ Streaming แสดงมูลค่า Options ทั้ง Call และ Put
จากภาพข้างต้น ด้านซ้ายมือจะแสดงให้เห็นถึงมูลค่า Call Options (กรอบสีเขียว) ขณะที่ด้านขวามือจะแสดงให้เห็นถึงมูลค่า Put Options (กรอบสีแดง) ที่ระดับ Strike Price ต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีให้เลือกมากมาย คำถามถัดมาคือ แล้วนักลงทุนจะเลือก Options ที่มีสิทธิแบบใด และ Strike Price เท่าไหร่ดี
สิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับการเริ่มต้นเทรด Options คือ มุมมองต่อแนวโน้มของสินค้าอ้างอิงในอนาคตว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด เพราะจะได้เลือกสิทธิของ Options ได้ตรงตามความต้องการ โดยที่ถ้าคาดสินค้าอ้างอิงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจะเลือก Call Options
ถ้าคาดสินค้าอ้างอิงมีแนวโน้มปรับตัวลงจะเลือก Put Options หลังจากคาดการณ์ได้แล้วว่าสินค้าอ้างอิงมีแนวโน้มไปในทิศทางใด สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อมาคือ ความคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวไปที่ระดับใด เพื่อที่จะประเมินต่อไปว่าควรเลือก Options ใน Strike Price ไหนดี ซึ่งจะต้องมีการคำนวณหาจุดคุ้มทุนของ Options ในแต่ละ Strike Price ว่ามีโอกาสสร้างกำไรได้หรือไม่ประกอบด้วย โดยจุดคุ้มทุนของ Call Options เท่ากับ (Strike Price + มูลค่า Options) ในทางตรงกันข้ามจุดคุ้มทุนของ Put Options เท่ากับ (Strike Price - มูลค่า Options) เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นจะขอยกตัวอย่างดังข้างล่าง ตัวอย่าง นาย A คาดว่า SET50 Index ณ วันหมดอายุเดือน มิ.ย. 68 จะปรับขึ้นไปที่ 800 จุด จากระดับปัจจุบันที่ 760 จุด และมีเงินลงทุนเท่ากับ 4,000 บาท
มูลค่า Call Options ณ Strike Price ต่าง ๆ
จากข้อมูลข้างต้น Options ที่นาย A ควรเลือกคือ Call Options เนื่องจากคาดว่า SET50 Index จะปรับตัวขึ้น และถ้าพิจารณาจากจุดคุ้มทุนประกอบด้วย ควรเลือก Options ที่มี Strike Price ตั้งแต่ระดับ 700-775 จุด ถึงจะมีโอกาสสร้างกำไรได้ เนื่องจากมีจุดคุ้มทุนต่ำกว่าเป้าหมายการปรับตัวขึ้นที่ระดับ 800 จุด ถ้านาย A เลือก Strike Price ที่สูงกว่าระดับ 800 จุด Options นั้นจะมีมูลค่าเท่ากับ 0 ณ วันหมดอายุ และจะขาดทุนเท่ากับค่าพรีเมียมที่จ่ายไป อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในเรื่องของเงินลงทุนประกอบเข้าไปด้วย พบว่าการเลือก Strike Price ที่ต่ำกว่าระดับ 750 จุด จะใช้เงินลงทุนสูงกว่า 4,000 บาท ซึ่งสูงกว่าเงินลงทุนของนาย A ดังนั้น Options ที่เหมาะสมกับเป้าประสงค์ของนาย A คือ Call Options ที่ระดับ 775 จุด หรือ S50M25C775
จากเนื้อหาข้างต้นผู้เขียนได้เจาะลึกลงไปถึงวิธีการเลือก Options ซึ่งขั้นตอนในการเลือกนั้นจะต้องมีการคาดการณ์แนวโน้มของสินค้าอ้างอิง การคำนวณหาจุดคุ้มทุนเพื่อเลือก Strike Price ที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่คาดหวัง รวมถึงเงินลงทุนที่มี ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความซับซ้อนในระดับหนึ่ง ทำให้การเทรด Options ไม่สะดวกมากนัก ดังนั้น บทความในตอนหน้าผู้เขียนจะพาไปรู้จักกับ Options Wizard ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การเลือก Options ง่ายยิ่งขึ้น (ฟีเจอร์สำหรับเทรด Long Options) ว่าจะมีวิธีการใช้งานอย่างไร หวังว่านักลงทุนที่เริ่มสนใจจะไม่พลาดติดตามอ่านกันต่อ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney