คำแนะนำ คนที่ควรสับเปลี่ยน เงินจาก LTF ไป Thai ESGX

Experts pool

Columnist

Tag

คำแนะนำ คนที่ควรสับเปลี่ยน เงินจาก LTF ไป Thai ESGX

Date Time: 16 พ.ค. 2568 20:16 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

เปิดคำแนะนำ คนที่ควรสับเปลี่ยน เงินจาก LTF ไป Thai ESGX ฐานภาษียิ่งสูง ยิ่งควรโอน -อายุยิ่งน้อย-ยิ่งควรโอน

Latest


เชื่อว่า มนุษย์เงินเดือนผู้เสียภาษีหลักให้กับประเทศจำนวนมาก ที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังไม่ได้ไถ่ถอนเงินออกมาจากกองทุน แม้จะถือจนครบกำหนดเวลาแล้ว ยังอาจลังเลหรือไม่แน่ใจ ว่าจะ “สับ-เปลี่ยน-โยก” เงินลงทุนจากกองทุน LTF ยังกองทุน Thai ESGX (Thai ESG Extra) ดีหรือไม่?? และอาจยังไม่รู้ว่า การสับเปลี่ยนกองทุน มีข้อกำหนดและเงื่อนไขอย่างไร จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด และเป็นประโยชน์กับตนเองมากที่สุด!!

เพราะมาตรการนี้ไม่ได้บังคับให้สับเปลี่ยนโยกเงิน แต่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้ตัดสินใจด้วยตนเอง ดังนั้น เพื่อเป็นการย้ำเตือน และให้ข้อมูลสำหรับผู้ที่ยังลังเล รวมถึงผู้สนใจ จึงขอนำข้อมูลสำคัญรวมทั้งข้อแนะนำของนักวางแผนการเงิน มานำเสนอเพื่อให้รีบตัดสินใจกัน เพราะขณะนี้ ได้เริ่มเปิดให้มีการสับเปลี่ยนและจะหมดเขตใช้สิทธิภายใน 30 มิ.ย. 2568 นี้แล้ว

อย่ามัวลังเล ละเลยจนเสียสิทธิประโยชน์สำคัญ จะได้วางแผนการเงินให้ถูกต้องและตรงเป้าหมายของแต่ละคน

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจและรู้จักกองทุน Thai ESGX ก่อนว่า เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว เช่น หุ้นที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในการคำนวณดัชนี SET TESG เพราะตลาดหลักทรัพย์และรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนไทย มีการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญคำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งเพราะเชื่อว่า หากบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้ความยั่งยืน ก็มีความหวังและมีความเป็นไปได้ว่า ธุรกิจจะมีกำไร มีการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน ไปพร้อมกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน การเปิดให้สับเปลี่ยนเงินจากกองทุน LTF มาสู่กองทุน Thai ESGX จึงถือเป็นการสนับสนุนให้พวกเรา นักลงทุน นักออมเงิน นักเสียภาษีทั้งหลาย ได้ต่อยอดเงินออมเข้าสู่หุ้นกลุ่มยั่งยืนที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

สิทธิประโยชน์ภาษีจากการสับเปลี่ยนจาก LTF เป็น Thai ESGX มีดังนี้

นักลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามจำนวนเงินที่โอนจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยแบ่งเป็น ปีแรก (2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และปีที่ 2 – 5 (2569–2572) ลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาท รวม 200,000 บาท โดยรวมแล้วจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทตลอดโครงการ แต่การจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีข้างต้นนั้น จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข การสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX ที่สำคัญคือ

1. ต้องสับเปลี่ยน LTF ทุกกองทุนที่ถืออยู่ (ไม่สามารถเลือกบางกองทุนหรือบางส่วนได้)
2. หากยอด LTF ที่สับเปลี่ยนต่ำกว่า 500,000 บาท จะใช้สิทธิ์ได้ตามยอดจริง
3. ส่วนที่เกิน 500,000 บาทจะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนในรอบนี้ แต่ยังต้องถือครองครบ 5 ปีเช่นกัน
4. ต้องถือครอง Thai ESGX ที่ได้รับจากการสับเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) หากขายก่อนครบกำหนด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอาจต้องเสียเบี้ยปรับตามกฎหมาย
5. สามารถโอนข้าม บลจ. ได้ โดยสับเปลี่ยน LTF จากหลาย บลจ. มารวมไว้ที่ Thai ESGX กองทุนเดียวได้ แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไขกับแต่ละ บลจ. ก่อนดำเนินการ
6. กำหนดช่วงเวลาการสับเปลี่ยน ได้ในช่วงวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น รีบแจ้งความประสงค์ไปยัง บลจ. ที่ตนเองถือกองทุน LTF โดยด่วนตอนนี้เลย!! เพราะขณะนี้ ได้เริ่มเปิดให้สับเปลี่ยนกองทุนแล้ว

ใครบ้าง ที่ควรตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX

ด้วยเงื่อนไขสำคัญของ Thai ESGX ที่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และบางคนอาจถือ LTF เกินกว่า 5 แสนบาท มีส่วนเกินจาก 5 แสนบาท ที่ต้องถือเกิน 5 ปี แต่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีในส่วนที่เกินนี้ นักวางแผนการเงินจาก ธนาคารกสิกรไทย ได้ให้ข้อแนะนำไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

1. ฐานภาษียิ่งสูง ยิ่งควรโอน เช่น หากคุณมีอัตราภาษีเงินได้ระหว่าง 25 - 35% หรือมีเงินเดือนราว 130,000 – 460,000 บาทขึ้นไป การโอนเงินจาก LTF เดิมไปลงทุนในกองทุน Thai ESGX จะช่วยให้คุณได้เงินคืนภาษีเฉลี่ยประมาณปีละ 5 - 7% ของเงินที่โอนไป “ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแค่ถือกองทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเงินใหม่เพิ่มเลย ในกรณีที่มีเงินลงทุน LTF มากกว่า 500,000 บาท เช่น 1 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานลดหย่อนสิทธิใหม่ แต่ส่วนที่ใช้สิทธิได้ (500,000 บาทแรก) ก็ยังทำให้ได้รับเงินคืนภาษีเฉลี่ยปีละ 2.5 - 3.5% ของมูลค่า LTF ทั้งก้อน ดังนั้น ก็ยังถือว่าคุ้มในการถือต่อ 5 ปี เช่นกัน

2. ผู้ที่มีฐานภาษีน้อย เช่น 10% หรือเงินเดือนประมาณ 40,000 – 55,000 บาท เงินคืนภาษีที่ได้รับไม่สูงมาก ประมาณ 10% ของมูลค่า LTF ที่ถือ หรือเฉลี่ยปีละ 2% และหากลงทุนตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่มี LTF โดยไม่เคยขายคืนเลย จนมี LTF สะสมมูลค่าสูง เช่น 1 ล้านบาท เงินคืนภาษีที่ได้ จะอยู่ที่เพียง 5% ของมูลค่า LTF (= เงินคืนภาษี 50,000 ÷ มูลค่า LTF 1 ล้านบาท) หรือเฉลี่ยปีละ 1% เท่านั้น “สำหรับคนกลุ่มนี้ การขายคืน LTF และนำเงินไปลงทุนทางเลือกอื่น อาจมีความน่าสนใจมากกว่า”

3. อายุยิ่งน้อย ยิ่งควรโอน ทางเลือกลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุน Thai ESGX, กองทุน Thai ESG และประกันชีวิตแล้ว หลักๆ จะเป็นกองทุน RMF ที่ต้องถือและลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดังนี้

  • อายุน้อยกว่า 50 ปี เช่น อายุ 30 ปี RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องและถือไปอีกอย่างน้อย 25 ปี ดังนั้น Thai ESGX ที่ลงทุนเพียง 5 ปี จึงน่าสนใจมากกว่า เพราะระยะเวลาการลงทุนสั้นกว่าลงทุนใน RMF ถึง 5 เท่า
  • อายุมากกว่า 50 ปี เช่น อายุ 53 ปี การลงทุนใน RMF อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ Thai ESGX ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม หรือจนถึงอายุประมาณ 58 ปี ส่วน RMF หากเคยลงทุนต่อเนื่องมาก่อนหน้าแล้ว อาจเหลือลงทุนต่ออีกเพียง 2 - 3 ปี (ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไปด้วย) จนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ก็สามารถขายคืน RMF ได้

สุดท้ายควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงิน สภาพคล่อง และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองก่อนตัดสินใจ หากมั่นใจว่าตอบโจทย์เป้าหมายและข้อจำกัดของตัวเอง การสับเปลี่ยนครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่คุ้มค่าและสร้างโอกาสในระยะยาวได้

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

วณิชยา แสงทอง

วณิชยา แสงทอง
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ