ภายหลังจากที่รัฐบาลเร่งเดินหน้า “นโยบายเรือธง” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ปัจจุบันได้ทำสำเร็จไปแล้วในรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทาง คลองบางไผ่ บางใหญ่-สถานีเตาปูน และรถไฟฟ้าสายสีแดง เส้นทาง ตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต ก็จะพบว่าทำให้การเดินทางของประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า สะดวก รวดเร็วขึ้น แถมผลตอบรับของประชาชนที่ใช้บริการก็พบว่ามีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งก็เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลที่จะให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทางในขนส่งระบบราง ที่ภาครัฐได้ลงทุนไปให้เกิดความคุ้มค่า ขณะเดียวกันรัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม ยังมีเป้าหมายใหญ่ที่จะใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้ ในรถไฟฟ้าทุกสาย ครบทุกสี ให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2568 ด้วย
ขณะเดียวกันภาครัฐบาลยังได้เร่งพยายามขับเคลื่อนนโยบายเรือธง และนโยบายต่างๆ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจประเทศไทยที่ซบเซาให้เกิดขึ้น ซึ่งก็มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม
และนโยบายโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน “แลนด์บริดจ์” ก็เป็นอีก 1 ในนโยบายเรือธงของรัฐบาลเช่นกัน ที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในเรื่องของการลงทุน ที่มีทั้งท่าเรือ มอเตอร์เวย์ และรถไฟ และการสร้างงานที่ยั่งยืน
โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนรวมสูงกว่า 1.08 ล้านล้านบาท แถมแบ่งการลงทุนออกเป็น 4 เฟส เริ่มตั้งแต่ปี 2568 - 2583 มีระยะเวลาสัญญาในการบริหาร 50 ปี แถมเฟสแรกยังมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5.22 แสนล้านบาท
ขณะที่ทางภาครัฐเองก็มีความหวั่นใจ แอบไม่แน่ใจนิดๆ จากเหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ซึ่งจะถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 36% ว่าเมื่อถึงเวลาจริง ที่จะให้นักลงทุนมาลงทุนจะยังมีนักลงทุนจากทั่วโลก ยังสนใจที่เข้ามาลงทุน “แลนด์บริดจ์” โครงการเมกะโปรเจคนี้อยู่หรือไม่
จากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม เดินสายโรดโชว์นักลงทุนทั่วโลก ได้รับความสนใจนักลงทุนทั่วโลกอย่างล้นหลาม รวมทั้งหลายประเทศที่ให้ความสนใจได้ขอเข้ามาสำรวจพื้นที่โครงการ ไม่ว่าจะเป็น ดูไบเวิลด์, จีน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์ และมาเลเซีย
และมา ณ วันนี้หลายๆ คนก็เริ่มสงสัยกันว่า โครงการ “แลนด์บริดจ์” ที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล มาวันนี้มีสถานะเป็นอย่างไรบ้าง?...
ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม, ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำคณะสื่อมวลชนกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ การจัดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. ....และความคืบหน้าในโครงการ “แลนด์บริดจ์” ในพื้นที่ตำแหน่งที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ณ ท่าเรือแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
“มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม กล่าวอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลมีความชัดเจนที่จะเดินหน้าในโครงการแลนด์บริดจ์ เนื่องจากเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล และการที่โครงการแลนด์บริดจ์จะขับเคลื่อนได้จำเป็นต้องมีกฎหมาย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พ.ศ…(พ.ร.บ. SEC) โดยสถานะปัจจุบันของร่าง พ.ร.บ. SEC อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก่อนที่จะดำเนินการ ร่าง พ.ร.บ. SEC ให้แล้วเสร็จก่อนเสนอไปยัง ครม.ภายในเดือน พ.ค.นี้ หลังจากนั้นจะบรรจุวาระเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังจะเริ่มเปิดประชุมสามัญในวันที่ 3 ก.ค. 2568 และคาดว่ากระบวนการเหล่านี้จะแล้วเสร็จตามเป้าหมาย ประกวดราคาเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน (RFP) ในเดือน ธ.ค. 2568
พร้อมกับย้ำอีกว่า กระทรวงฯ ประเมินว่าการร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ จะเสร็จไตรมาส 1 ปี 2569 และคัดเลือกผู้ลงทุนเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569 จากนั้นจะออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน และเสนอ ครม.อนุมัติโครงการในไตรมาส 2 ปี 2569 พร้อมลงนามสัญญากับเอกชนร่วมลงทุน โดยคาดว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะเริ่มก่อสร้างระยะที่ 1 ในไตรมาส 3 ปี 2569 เปิดให้บริการปลายปี 2573
ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้เสริมว่าสนข.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นส่วนของร่าง พ.ร.บ. SEC ผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงคมนาคมและ สนข. ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็น 9,000 คน มี 8,000 คนเห็นด้วยกับการพัฒนา พ.ร.บ. SEC และแลนด์บริดจ์ โดยมีประชาชน 700 คนที่มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม อาทิ ข้อกังวลเกี่ยวกับการจ้างงานในพื้นที่ ข้อกังวลเกี่ยวกับการชดเชยผลกระทบ
ส่วนเรื่องของนักลงทุนทั่วโลกที่สนใจนั้นยังยืนยันว่า นักลงทุนต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาลงทุน เรื่องนี้ภาครัฐไม่มีความกังวลเลย ส่วนรูปแบบการเปิดประกวดราคานั้นจะเปิดประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) ได้ช่วงกลางปี 2569 ในรูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (PPP) แบบ Net Cost คือแบ่งผลประโยชน์ ส่วนแบ่งรายได้แก่รัฐ โดยจะเปิดประกวดราคาทั้งโครงการแบบ 1 สัญญา เพื่อให้การบริหารโครงการมีเอกภาพและบูรณาการ ทั้งนี้เอกชนผู้ได้รับโครงการจะเป็นผู้ลงทุนทั้ง 100% สัญญาเดียว โดยได้สิทธิดำเนินโครงการ 3 ส่วน ทั้งท่าเรือน้ำลึก มอเตอร์เวย์ และรถไฟ
ขณะที่ภาครัฐเป็นผู้ลงทุนด้านกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่ยืนยันว่าโครงการทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย ที่ดินเป็นของไทย มิได้มีการยกกรรมสิทธิ์ให้ต่างชาติแต่อย่างใด
ผู้อำนวยการ สนข. ยังได้ขยายความเพิ่มอีกว่า การพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์จะมีมูลค่าการลงทุนรวม 1.08 ล้านล้านบาท จะแบ่งออกเป็น 4 เฟส เริ่มตั้งแต่ปี 2568 - 2583 มีระยะเวลาสัญญาในการบริหาร 50 ปี โดยเฟสแรกมีมูลค่าการลงทุน 5.22 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
จากนั้นจะมีการพัฒนาเฟสต่อไปโดยพิจารณาตามอัตราการเติบโตของตู้สินค้า และทั้ง 4 เฟสจะสามารถรองรับรวมกันได้ที่ 20 ล้านตู้ต่อปี ซึ่งจากการศึกษาทั้งโครงการจะมีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ที่ประมาณ 7-8% โดยคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างเฟสแรกได้ในปี 2570 แล้วเสร็จ พร้อมเปิดบริการในปี 2573
“ส่วนกระแสขายชาติ ขอชี้แจงว่าการเวนคืนที่ดินพัฒนาโครงการจะทำโดยรัฐบาล ที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐทั้งหมด เป็นของคนไทย ไม่ได้ยกให้ใคร เพียงแต่ประมูลให้ต่างชาติมาลงทุน ก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้ และพื้นที่ที่เหลือก็จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนกลุ่มอื่นมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้ ในพื้นที่ 4 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดระนอง, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งมองโอกาสเป็นประเภทสินค้าเกษตร สินค้าประมง สิ่งเหล่านี้จะต่อยอดอุตสาหกรรมและส่งออกให้มีมูลค่าเพิ่ม โดยการลงทุนนี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักลงทุนเป็นไทยหรือต่างชาติ แต่ต้องให้เกิดการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ได้เคยระบุว่า ภายใต้ระยะเวลาสัญญา 50 ปี ประเมินว่า นักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ด้านการเงินไม่น้อยกว่า 10% โดยมีระยะเวลาคืนทุนที่ 24 ปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินจากรายได้จากการบริหารท่าเรือ และขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือเท่านั้น แต่หากนักลงทุนมีการพัฒนาเพิ่มเติมจากการอุตสาหกรรม และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย จะสร้างผลประโยชน์ด้านการเงินมากขึ้น และระยะเวลาคืนทุนจะเร็วขึ้นกว่า 24 ปีแน่นอน
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney