สงครามการค้าและการปรับเป้าเศรษฐกิจไทย

Experts pool

Columnist

Tag

สงครามการค้าและการปรับเป้าเศรษฐกิจไทย

Date Time: 22 ก.พ. 2568 08:00 น.

Video

ต้นทุนพุ่ง! นำเข้าสินค้าออนไลน์ เตรียมรับมือ ภาษีนำเข้า 1 บาท (ม.ค. 69)  | Thairath Money Night Stand EP.25

Summary

1 เดือนหลังปีใหม่ 2568 สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการลงทุนเริ่มเป็นลบ ผลทั้งจากภาพเศรษฐกิจโลกล่าสุดเริ่มชะลอตัว และสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น นโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเสี่ยงมาแรงและเร็วเกินคาด ส่วนเศรษฐกิจไทยท้าทายกว่าที่คาด โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 ขยายตัว 3.2% เทียบรายปี และ 0.4% เทียบรายไตรมาส ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์มาก จึงแนะนำปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยให้เน้นความระมัดระวังท่ามกลางความเสี่ยงสูง

Latest


หลังผ่านปีใหม่มา 1 เดือน สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการลงทุนเริ่มเป็นลบ ผลทั้งจากภาพเศรษฐกิจโลกล่าสุดเริ่มชะลอตัว และสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น โดยในส่วนเศรษฐกิจโลกนั้น ดัชนี PMI โลกในเดือน ม.ค. 2568 แสดงให้เห็นการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจลงต่ำสุดในรอบ 1 ปี

ขณะที่เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐ ที่พึ่งพิงการบริโภคถึง 70% ของ GDP เริ่มเห็นสัญญาณเปราะบางขึ้น โดยยอดค้าปลีกเดือน ม.ค. ดิ่งหนักสุดรอบ 2 ปี โดยหดตัว -0.9% ต่อเดือน โดยลดลงใน 9 จาก 13 หมวดสินค้า ซึ่งส่วนหนึ่งแม้เป็นผลจากไฟป่าและพายุหิมะรุนแรงในหลายพื้นที่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากผู้บริโภคที่กำลังเผชิญเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง ทำให้หันไปพึ่งบัตรเครดิตและการก่อหนี้มากขึ้น

ขณะที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้เริ่มสูงขึ้น ภาพเหล่านี้สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง และภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์อาจซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อและกระทบการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระยะต่อไป

ในส่วนของนโยบายการค้าของทรัมป์ มีความเสี่ยงมาแรงและเร็วเกินคาด โดยล่าสุด มาตรการภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศแล้ว ได้แก่

  1. ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% ก่อนจะชะลอการเก็บไป 1 เดือน
  2. เก็บภาษีนำเข้าจากจีน 10% ในสินค้าทุกชนิด ทำให้จีนประกาศเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ตอบโต้ที่อัตรา 10-15% ในบางสินค้า เช่น น้ำมันดิบ เครื่องจักรการเกษตร ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติเหลว และยังเพิ่มมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การสอบสวน Google และการขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกัน 
  3. ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม 25% กับทุกประเทศ
  4. ทรัมป์เตรียมประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 1 เม.ย. โดยจะเก็บภาษีตอบโต้หากประเทศใดเก็บภาษีนำเข้ามากกว่าที่สหรัฐฯ เก็บ โดยในกรณีของไทยเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย 8.2% ขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าไทยเฉลี่ยเพียง 2.4% ดังนั้น สหรัฐฯ อาจเพิ่มภาษีอีก 5.8% เพื่อให้เท่าเทียมกับไทย ซึ่งหากเกิดขึ้น อาจทำให้ GDP ไทยลดลง 0.5-0.6% (p.p.) และทำให้เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเหลือเพียง 2.0% จากประมาณการเดิม 2.5%

ในส่วนของเศรษฐกิจไทย อาจกล่าวได้ว่า ท้าทายกว่าที่คาด โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 ขยายตัว 3.2% เทียบรายปี และ 0.4% เทียบรายไตรมาส ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์มาก โดยมีปัจจัยลบสำคัญจาก

  1. การหดตัวรุนแรงของสินค้าคงคลัง สะท้อนการระบายสต็อกของภาคธุรกิจและความระมัดระวังในการผลิตสินค้า
  2. การลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวต่อเนื่อง
  3. การบริโภคสินค้าคงทนหดตัวแรง สะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนแอจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง และความตึงตัวทางการเงิน

ภาพดังกล่าว ทำให้เรามองว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวต่ำกว่าที่สภาพัฒน์คาดที่ 2.3-3.3% (ค่ากลาง 2.8%) ผลจาก 4 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  1. มาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบ GDP ไทยถึง 0.5-0.6%
  2. การแข่งขันรุนแรงจากจีนที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น
  3. ความเข้มงวดของสถาบันการเงินท่ามกลาง NPLs และ SMLs ที่สูงโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs
  4. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น

เราจึงคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 2.5% โดยมีการปรับประมาณการดังนี้:

  1. ปรับลดประมาณการส่งออกเป็น -1.0% จากเดิม 0%
  2. ปรับลดการบริโภคภาคเอกชนเป็น 1.9% จากเดิม 2.2%
  3. ปรับลดการลงทุนภาคเอกชนเป็น -0.2% จากเดิม 0.5%

โดยการบริโภคและลงทุนที่ลดลงเป็นผลจากนโยบายการเงินยังมีแนวโน้มตึงตัว โดย ธปท. ส่งสัญญาณว่ายังจะไม่ลดดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาดก็ตาม ทำให้เราคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในเดือน ส.ค. และ ต.ค.

ด้วยภาพดังกล่าวทำให้เราปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยให้เน้นความระมัดระวังท่ามกลางความเสี่ยงสูง ด้วยความเสี่ยงที่มีสูงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ แนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ

  1. การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ
  2. ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ "Selective Buy" ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

  1. หุ้น Earning Play ที่คาดกำไร 4Q67-1Q68 จะเติบโตและมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ได้แก่ ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC โดยเน้นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันสูง
  2. หุ้น Event Play ที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภาครัฐ ได้แก่ CRC HMPRO TNP MINT AWC ERW
  3. หุ้น Undervalued จาก SET100 คาดกำไรปี 2568 เติบโต ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน Valuation ไม่แพง และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยเราแนะนำ BCP AP PTT TU SPALI

ขอให้นักลงทุนโชคดี

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment 


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX