AI Automation เปลี่ยนงานซ้ำซากเป็นโอกาสทางธุรกิจ

Experts pool

Columnist

Tag

AI Automation เปลี่ยนงานซ้ำซากเป็นโอกาสทางธุรกิจ

Date Time: 8 ก.พ. 2568 10:00 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

ในยุคที่เวลาคือทรัพยากรล้ำค่า พนักงานออฟฟิศต้องสูญเสียเวลาถึง 552 ชั่วโมงต่อปีไปกับงานเอกสารซ้ำซาก นั่นเท่ากับเกือบ 70 วันที่อาจไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร แต่ด้วย AI Automation ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่าง Machine Learning และ Natural Language Processing พร้อมเครื่องมืออย่าง OCR และ Speech-to-Text กำลังเปลี่ยนโฉมการทำงานให้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ช่วยให้คุณมีเวลาโฟกัสกับงานที่สร้างคุณค่าและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญกว่า พร้อมยกระดับธุรกิจของคุณสู่การแข่งขันในยุคดิจิทัล

Latest


ลองจินตนาการถึงวันที่คุณต้องเสียเวลาไปกับการกรอกเอกสาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งกินพลังงานและเวลาสุด ๆ เลยใช่ไหม?  

แต่รู้หรือไม่ว่า พนักงานออฟฟิศโดยเฉลี่ยใช้เวลามากถึง 552 ชั่วโมงต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 69 วัน ในการทำงานเอกสารที่ซ้ำซาก? นั่นหมายความว่าเกือบหนึ่งในห้าของปีต้องสูญเสียไปกับงานที่อาจไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร

ในโลกธุรกิจที่ความรวดเร็วและความแม่นยำคือหัวใจสำคัญ AI Automation กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มประสิทธิภาพ และมอบเวลาให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การบริหารทีม หรือการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ถึงเวลาแล้วที่คุณจะเริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ เพื่อพลิกโฉมการทำงานและเพิ่มศักยภาพธุรกิจของคุณ

AI Automation คืออะไร และทำงานอย่างไร?

AI Automation หรือการปรับระบบให้เป็นอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดภาระงานซ้ำซากและ/หรืองานที่ต้องทำด้วยมือในกระบวนการทำงาน เพื่อให้กระบวนการเหล่านั้นรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น 

เทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้ AI Automation ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่:

  • Machine Learning (ML): เทคโนโลยีที่ช่วยให้ AI เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก คาดการณ์แนวโน้ม และปรับปรุงการตัดสินใจได้โดยไม่ต้องนำไปโปรแกรมเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น AI ที่วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายย้อนหลัง เพื่อนำไปวางแผนการตลาดได้อย่างชาญฉลาด
  • Natural Language Processing (NLP): ความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ ช่วยให้ AI เข้าใจข้อความที่ซับซ้อนและตอบสนองได้เหมือนมนุษย์ เช่น การใช้ Chatbot ตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์ หรือการแปลงเอกสารภาษาไทยเป็นข้อมูลดิจิทัล

นอกจากนี้ AI Automation ยังช่วยในกระบวนการที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การตรวจสอบเอกสาร การจัดการข้อมูลลูกค้า และการจัดการระบบหลังบ้าน OCR (Optical Character Recognition) เป็นหนึ่งในเครื่องมือของ AI Automation ที่แก้ปัญหานี้ได้ ด้วยความสามารถของ AI ที่อ่านและแปลงข้อมูลจากเอกสารให้กลายเป็นไฟล์ดิจิทัลโดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการทำงานและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากมนุษย์

การใช้งาน AI Automation ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรโดยรวม ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์หรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับธุรกิจในยุคที่การแข่งขันเป็นเรื่องของความรวดเร็วและความแม่นยำ

AI Automation ช่วยแก้ปัญหาอย่างไร?

AI Automation ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในหลายมิติของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความแม่นยำสูง ตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น:

  • AI Automation ช่วยประมวลผลเอกสาร
    การจัดการเอกสารแบบแมนวลนั้นใช้เวลามากและเสี่ยงต่อข้อผิดพลาด แต่ด้วยเทคโนโลยี AI Automation โดยเฉพาะ OCR (Optical Character Recognition) ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยจะแปลงเอกสารกระดาษหรือไฟล์ PDF ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการกรอกข้อมูลด้วยมือ และเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล เช่น การใช้ OCR ประมวลผลใบแจ้งหนี้ โดยเทคโนโลยีนี้จะดึงหมายเลขและยอดรวมได้อัตโนมัติ ช่วยประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดในการทำงาน
  •  AI Automation ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล
    ธุรกิจสมัยใหม่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีดั้งเดิมอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน แต่ด้วย AI Automation การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากทำได้ภายในไม่กี่วินาที เนื่องด้วยประสิทธิภาพของ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาแนวโน้มและเชื่อมโยงข้อมูลที่ซับซ้อน พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  •  AI Automation ช่วยตอบคำถามลูกค้า
    ในยุคดิจิทัล ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น AI Automation ช่วยตอบโจทย์ด้วย Chatbot หรือ Virtual Assistant ที่ให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามทั่วไป เช่น สถานะการสั่งซื้อ หรือการแก้ปัญหาเบื้องต้น ซึ่ง Chatbot เหล่านี้เรียนรู้จากข้อมูลในอดีตและปรับตัวเพื่อตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดภาระงานของทีมสนับสนุน และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

AI Speech-to-Text: โซลูชันลดงานที่จำเจ

หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงสุดสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจคือ AI Speech-to-Text ระบบที่สามารถแปลงเสียงพูดเป็นข้อความได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดงานที่ต้องบันทึกข้อมูลด้วยมือหรือการถอดเสียงแบบแมนวล ซึ่งมักเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน

หลักการทำงานของ AI Speech-to-Text

AI Speech-to-Text คือระบบที่แปลงเสียงพูดของมนุษย์ให้กลายเป็นข้อความโดยอัตโนมัติ เปรียบเหมือนมีเลขาคอยฟังสิ่งที่คุณพูด แล้วพิมพ์ข้อความให้ทันทีโดยไม่ต้องใช้คนพิมพ์เอง

ขั้นตอนแรกคือ AI จะรับสัญญาณเสียงผ่านไมโครโฟนหรือไฟล์เสียง จากนั้น AI จะวิเคราะห์เสียงที่ได้ยินและแยกเสียงของแต่ละคำออกจากกัน เหมือนกับการฟังเพลงแล้วแยกคำร้องจากดนตรี

เมื่อ AI แยกคำพูดออกมาได้แล้ว ระบบจะใช้กระบวนการที่เรียกว่า Natural Language Processing (NLP) เพื่อทำความเข้าใจคำพูดว่าแต่ละคำมีความหมายอะไร

หลังจากเข้าใจคำพูด ระบบจะนำคำเหล่านั้นมาเรียงเป็นข้อความ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานต่อ เช่น ส่งอีเมล เขียนรายงาน หรือบันทึกการประชุม

ตัวอย่างที่เห็นภาพง่าย ๆ

ถ้าคุณพูดว่า "วันนี้อากาศดีมาก" ระบบจะฟังเสียงคุณและแปลงคำพูดนั้นออกมาเป็นข้อความ "วันนี้อากาศดีมาก" บนหน้าจอ หรือในกรณีของการประชุม ระบบ AI สามารถบันทึกบทสนทนาและเปลี่ยนเป็นเอกสารการประชุมให้คุณโดยอัตโนมัติ

การใช้ AI Speech-to-Text ในธุรกิจ

AI Speech-to-Text กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายอุตสาหกรรม ด้วยความสามารถในการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความอัตโนมัติอย่างแม่นยำและรวดเร็ว อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้นำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น:

  • ธนาคาร: Speech-to-Text ช่วยบันทึกการประชุมและบทสนทนาระหว่างที่ปรึกษาทางการเงินกับลูกค้า ทำให้การเก็บข้อมูลละเอียดขึ้นและลดโอกาสผิดพลาด นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์บทสนทนาเพื่อตรวจสอบความเสี่ยง เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
  • ประกันภัย: อุตสาหกรรมประกันภัยใช้ Speech-to-Text ในการลดเวลาการประมวลผลคำร้องค่าสินไหม โดยการถอดเสียงการสนทนาในกระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมให้เป็นข้อความที่พร้อมตรวจสอบ นอกจากนี้ยังช่วยตรวจจับการฉ้อโกงผ่านการวิเคราะห์คำพูดและรูปแบบการสื่อสารที่ผิดปกติ
  • งานบริการลูกค้า: AI Speech-to-Text เปลี่ยนบทสนทนาทางโทรศัพท์ให้กลายเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้ องค์กรสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการปรับปรุงบริการ เช่น การแก้ปัญหาลูกค้าให้เร็วขึ้น หรือการพัฒนาระบบที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น
  • การแพทย์: เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยแปลงบทสนทนาของแพทย์กับผู้ป่วย ให้กลายเป็นบันทึกทางการแพทย์อัตโนมัติ พร้อมนำส่งเข้าระบบกลางของโรงพยาบาลได้ทันที ลดภาระงานเอกสารที่จำเป็นของแพทย์

AI Speech-to-Text ช่วยลดภาระงานแมนวล เพิ่มความรวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ด้วยความแม่นยำและประมวลผลที่รวดเร็ว เทคโนโลยีนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยธุรกิจแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายและข้อควรระวังในการใช้ AI Automation

แม้ว่า AI Automation จะเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง แต่การใช้งานยังต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ความปลอดภัยของข้อมูล

ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลลูกค้าและข้อมูลภายในองค์กร ตลอดจนการละเมิดข้อมูลหรือการโจมตีทางไซเบอร์อาจทำให้สูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า

การฝึกอบรมพนักงาน

แม้ว่า AI จะช่วยลดภาระงานได้ แต่การฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ ความเข้าใจในการใช้ AI จะช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวและใช้เครื่องมือได้อย่างเต็มที่

สมดุลระหว่าง AI กับมนุษย์

AI ควรเป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ใช่การแทนที่ รวมถึงการใช้ AI ควบคู่กับความเชี่ยวชาญของมนุษย์จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามมนุษย์ยังต้องเป็นด่านสุดท้าย คอยตรวจสอบการทำงานของ AI อยู่ดี


Author

สหพัฒณ์ ล้ำสมบัติ

สหพัฒณ์ ล้ำสมบัติ
CEO บริษัท เวิร์ดเซนส์ จำกัด บริษัทในเครือ Looloo Technology ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน OCR โดยเฉพาะ OCR Handwriting แปลงลายมือภาษาไทยเป็นข้อความดิจิทัล