มุมมองเศรษฐกิจโลกและไทยปี 2025

Experts pool

Columnist

Tag

มุมมองเศรษฐกิจโลกและไทยปี 2025

Date Time: 18 ม.ค. 2568 08:00 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

เข้าสู่ปีใหม่ เป็นการดีหากจะได้มีมุมมองภาพเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในปีที่ความผันผวนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามการรับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เราจึงขอนำเสนอมุมมองเศรษฐกิจโลกและไทยในปี 2025 ผ่าน 2 มุมมอง กล่าวคือ ของสำนักวิจัย Goldman Sachs หรือ GS (ที่เป็นพันธมิตรด้านงานวิชาการกับเรา) และได้จัดงานประชุม GS Global Macro Conference 2025 เมื่อวันที่ 14-15 ม.ค. ที่ผ่านมา และมุมมองที่สอง ได้แก่ของสำนักวิจัย InnovestX (INVX) ดังนี้

Latest



ในส่วนของ Goldman Sachs ในการประชุมวันแรก (14 ม.ค.) Goldman Sachs มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2025 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโต 2.5% จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเติบโตของรายได้ที่แท้จริง ขณะที่จีนจะเติบโต 4.5% แม้จะเผชิญความท้าทายจากการส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนยุโรปคาดว่าจะเติบโตเพียง 0.8% จากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงและความตึงเครียดทางการค้า ด้านนโยบายการเงิน Fed คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 ECB จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึง 1.75% และ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 0.5%


สงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นในปี 2025 จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแตกต่างกัน โดยการขึ้นภาษี 10% กับทุกสินค้าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว 1% และเงินเฟ้อพุ่งถึง 3% แต่หากขึ้นภาษีเฉพาะกับจีน 20% และรถยนต์จาก EU ผลกระทบจะน้อยกว่า โดยเงินเฟ้อจะขึ้นสูงสุดที่ 2.5% นอกจากนี้ ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนมีแนวโน้มตึงเครียดขึ้น โดยเฉพาะในมิติเทคโนโลยี แต่สหรัฐประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมชิป โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูง 28% ภายในปี 2032


ในการประชุมวันที่สอง (15 ม.ค.) Rob Kaplan อดีตประธาน Fed ดัลลัส คาดว่า Fed จะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนมกราคม แต่อาจพิจารณาในเดือนมิถุนายน พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของดอกเบี้ยสูงต่อผู้มีรายได้น้อยและการขาดดุลงบประมาณที่ 6% ของ GDP ขณะที่นักวิเคราะห์ GS คาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 20% และอาจเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป


ด้านโอกาสการลงทุน Goldman Sachs มองว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอีก 4-5% และแนะนำให้ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตเชิงโครงสร้าง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย ซึ่งมี P/E ต่ำกว่าสหรัฐ 25% โดยตลาดหุ้นสหรัฐคาดว่าจะเติบโต 11% จีน 20% ส่วนยุโรปยังมีความท้าทาย และกลุ่ม Magnificent 7 คาดว่าจะให้ผลตอบแทนส่วนเกินลดลงจาก 30% เหลือ 7%


ในส่วนของ INVX เรามองว่า ปี 2024 และ 2025 ปี 2024 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเศรษฐกิจโลกปี 2025 มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะ Soft Landing นำโดยสหรัฐฯ ที่คาดว่าเศรษฐกิจชะลอลงสู่ 1.9% และเงินเฟ้อจะลดลงมาอยู่ที่ 2.5-2.7%  ส่วนเศรษฐกิจจีนแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวเหลือ 4.5% แต่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดการเงิน  ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโตเพียง 2.7% จากเดิมที่คาด 3.0% เนื่องจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่เร่งผ่อนคลายนโยบายการเงิน


ในปี2025 เรามองว่า จะเป็นปีสุดท้ายแห่งการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเรามองว่า ปี 2025 ธนาคารกลางขนาดใหญ่จะทำนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นปีสุดท้าย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะสามารถลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในครึ่งปีแรก ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจลดถึง 4 ครั้งท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ  ด้านญี่ปุ่นกลับตรงข้าม โดย ธนาคารกลาง (BOJ) อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน พ.ค. ส่วนดอกเบี้ยไทย เรามองว่า ธปท มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 0.75% ในเดือน ก.พ. มิ.ย. และ ต.ค. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว


นอกจากนั้น กำแพงภาษีของทรัมป์ทำได้ไม่เร็วเนื่องจากการทำสงครามการค้าคือการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบลำดับแรกขึ้นชาวอเมริกัน ที่ต้องนำเข้าสินค้าราคาแพงขึ้น ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ต้องทำ คือการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งก่อน ซึ่งจะทำได้ด้วยการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% สู่ 15% ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก และอาจต้องรอไปถึงช่วงปลายปี 2025 แต่ Trump 2.0 อาจใช้ Non-Tariff Barrier เข้าโจมตีไทย เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็น Currency Manipulator และ การบังคับการนำเข้าหมูเนื้อแดงจากสหรัฐ 


INVX คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2024-2025 อย่างไร เศรษฐกิจไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 2.7% ใกล้เคียงกับปี 2024 โดยเราปรับประมาณการลงจาก 3.0% หลังจาก ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ซึ่งบ่งชี้ถึงการไม่เร่งทำโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้สภาวะสภาพคล่องยังคงตึงตัว ทั้งนี้ เรามองว่า การบริโภคภาคเอกชนไทยจะขยายตัว 2.2% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอาจขยายตัวเพียง 0.5% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มทรงตัว (ไม่เติบโต) ส่วนเงินเฟ้อ เราคาดว่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 0.9% ขณะที่ค่าเฉลี่ยค่าเงินบาทมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปัจจุบัน (ที่เฉลี่ย 35.3 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2024) โดยเรามองว่า เงินบาทจะอ่อนค่าจากช่วง 24 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงต้นปี สู่ 35-36 บาทในครึ่งปีหลัง 

ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ด้วยความเสี่ยงที่มีสูง ทำให้เรามองว่าให้นักลงทุนรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้


1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการ Easy E-Receipt ช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)

2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ต แนะนำ AP KTB BBL PTT

3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX