
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่การเดินทางถูกจำกัด ผู้บริโภคชาวไทยแสดงศักยภาพทางการซื้อให้โลกได้เห็น ด้วยพฤติกรรมที่เคยนิยมเดินทางไปช็อปปิ้งต่างประเทศ แต่กลับหันมาจับจ่ายในประเทศมากขึ้น ทำให้แบรนด์ไฮเอนด์หรูระดับโลกเร่งเปิดตลาดในไทยกันคึกคัก
ปัจจุบันแบรนด์ลักชัวรีทุกแบรนด์ได้เข้ามาเจาะตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะตอบสนองกลุ่มลูกค้าระดับบนแล้ว ยังขยายฐานไปยังคนรุ่นใหม่ที่มองสินค้าไฮเอนด์เป็นตัวแทนสถานะทางสังคม โดยเฉพาะการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
ปีที่ผ่านมา ตลาดลักชัวรีแบรนด์เนมในไทยมีมูลค่าถึง 4.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แซงหน้าสิงคโปร์ที่มีมูลค่า 4.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างกันระหว่างสองประเทศ โดยในไทยตลาดขับเคลื่อนด้วยคนในประเทศที่นิยมแฟชั่น ในขณะที่สิงคโปร์พึ่งพานักท่องเที่ยวที่มักมองหานาฬิกาและเครื่องประดับที่หรูหรา
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาสินค้ามือหนึ่งที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง การซื้อสินค้ามือสองจึงกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและสอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืน
ท่ามกลางการเติบโตของแฟชั่นลักชัวรี ตลาดสินค้ามือสองในไทยก็กำลังเบ่งบาน โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น ซึ่งมอบโอกาสใหม่ให้กับนักช็อปที่ต้องการสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่จับต้องได้
ญี่ปุ่น แม้จะไม่ใช่ประเทศแรกที่คนคิดถึงเมื่อพูดถึงแฟชั่นหรู แต่แท้จริงแล้วเป็นตลาดสำคัญอันดับสองของเอเชีย รองจากจีน ด้วยเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และชื่อเสียงด้านการบำรุงรักษาสินค้าอย่างพิถีพิถัน ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นแหล่งรวมสินค้าหรูมือสองที่สำคัญ
นักช็อปจากทั่วโลก รวมถึงคนไทย นิยมเดินทางไปช็อปปิ้งในญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงที่ค่าเงินเยนอ่อนตัว ทำให้สินค้ามีราคาดึงดูด การไปตามล่าแฟชั่นแบรนด์เนมมือสองระดับโลก อย่างเช่น Chanel, Hermès และ LVMH ที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังๆ อย่าง Louis Vuitton, Christian Dior, TAG Heuer, Tiffany & Co. และ Loewe หรือจะเป็นแฟชั่นแบรนด์เนมของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่น Yohji Yamamoto, Issey Miyake, Comme des Garçons และ Kenzo เป็นต้น มีให้เลือกสรรหาอย่างครบครัน
มีข้อมูลด้วยว่าคนไทย เป็นลูกค้าต่างชาติรายใหญ่เป็นอันดับสองรองจากจีน และอันดับสามเป็นชาวฟิลิปปินส์ แต่ใช้จ่ายสูงเฉลี่ยถึง 2-3 แสนบาทต่อครั้ง ใช้จ่ายมากกว่าชาวจีน
3 อันดับสินค้าหรูหรามือสองที่คนไทยนิยมซื้อมากที่สุด ในกลุ่มกระเป๋า 1. Hermès 2. Chanel 3. Louis Vuitton ส่วนนาฬิกาหรู 1. Patek Philippe 2. Rolex 3. Audemars Piguet
ขณะเดียวกับผู้ประกอบการสินค้ามือสองจากญี่ปุ่นได้เริ่มขยายธุรกิจมายังประเทศไทย เพื่อเข้าถึงนักช็อปชาวไทยที่ไม่ต้องการเดินทางไปไกล
เริ่มจาก Komehyo (โคเมเฮียว) ผู้ให้การบริการรับซื้อ – ขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองครบวงจรที่มีประสบการณ์กว่า 77 ปี ด้วยเครือข่ายกว่า 30 สาขาในญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกับกลุ่มสหพัฒน์ เปิดตัวในไทย ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และทีมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ปัจจุบันมีเครือข่ายถึง 5 สาขาด้วยกัน
2nd Street (เซคันด์ สตรีท) ศูนย์แบรนด์มือสองชั้นนำอาทิ กระเป๋า, หมวก, เครื่องประดับ, เฟอร์นิเจอร์, ของใช้ในบ้าน ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและต่างประเทศ ที่มีสาขากว่า 900 แห่งทั่วโลก ก็เข้ามาเปิดตลาดในไทยด้วยการบริหารโดยตรงจากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดสาขาแรกที่บิ๊กซี พระราม 4 เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกำลังจะเปิดสาขาที่ 4 ในไทย เน้นจำหน่ายสินค้าราคาย่อมเยา ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่น
ล่าสุด RAGTAG (แร็กแท็ก) ศูนย์แฟชั่นมือสองระดับไฮเอนด์จากญี่ปุ่น ที่มีสาขากว่า 20 แห่ง ได้เริ่มบุกตลาดไทยอย่างจริงจัง ผ่านการร่วมทุนกับกลุ่มสหพัฒน์ โดยตั้งเป้าผลักดันธุรกิจแฟชั่นยั่งยืน และสร้างผู้นำเทรนด์ในตลาดไทย เมื่อปีที่ผ่านมาได้เปิดป๊อปอัพสโตร์แห่งแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมสินค้าแฟชั่นดีไซเนอร์คุณภาพสูง และจะได้เห็นแผนการขยายเครือข่ายในไทยอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
การร่วมทุนระหว่างกลุ่มสหพัฒน์ ผู้ประกอบการชั้นนำอย่าง Komehyo และ RAGTAG แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในไทย ขณะที่ 2nd Street กำลังสร้างการแข่งขันที่เข้มข้น พวกเขาไม่เพียงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ของตลาด
ตลาดสินค้าลักชัวรี่มือสองในไทยกำลังเดินตามรอยความสำเร็จของญี่ปุ่น เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ที่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม แต่ยังวางรากฐานให้ไทยเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นที่ทั้งหรูหรา ยั่งยืน และเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมอีกด้วย