ยินดีต้อนรับสู่ยุคใหม่

Experts pool

Columnist

Tag

ยินดีต้อนรับสู่ยุคใหม่

Date Time: 28 ก.ย. 2567 07:42 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 และปี 2025 เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วง Late Cycle โดยเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเริ่มชะลอลง ขณะที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารกลางอื่น ๆ ลดดอกเบี้ยตาม ส่วนเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินการคลัง เช่น โครงการ Digital Wallet แม้การส่งออกอาจเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง เราคาดว่าตลาดการเงินจะผันผวน แต่การลดดอกเบี้ยและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า จะช่วยหนุนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่และไทย หุ้นเด่นคือ BDMS CPALL HANA และ LHHOTEL

Latest


เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เรามีมุมมองต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องปี 2025 ใน 3 ประเด็นหลัก กล่าวคือ

(1) เศรษฐกิจเปลี่ยนยุค  โดยในไตรมาส 3 เราเห็นภาพที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized recovery) ซึ่งในไตรมาส 4 ภาพดังกล่าวยังอยู่ แต่เราเริ่มเห็นทิศทางเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเริ่มชะลอลง โดยเฉพาะภาคการผลิต (หรือที่เรียกว่าช่วงท้ายวัฐจักรหรือ Late cycle) โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากดัชนีชี้นำโดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตที่เห็นการชะลอลงชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเอเชียโดยเฉพาะภาคการผลิตใน 3-6 เดือนข้างหน้า เริ่มชะลอลง


(2) ดอกเบี้ยเปลี่ยนยุค โดยปัจจุบัน ธนาคารกลางชั้นนำเริ่มลดดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น โดยในปัจจุบัน ธ. กลางสำคัญของโลก เช่น ยุโรป อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ และสวีเดน ลดดอกเบี้ยแล้ว และในวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็เริ่มลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกหลังช่วง Covid-19 ซึ่งเราเชื่อว่า กระแสการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ธนาคารกลางอื่น ๆ เริ่มลดดอกเบี้ยได้ โดยเราเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ย 0.75% (percentage point: p.p.) ปีนี้ และอาจลด 1.50% ปีหน้า และ


(3) การเมืองเปลี่ยนยุค โดยเฉพาะการเมืองในสหรัฐ ที่ในปัจจุบัน รองประธานาธิบดีแฮริสมีคะแนนนำอดีตประธานาธิบดีทรัมพ์ ที่ 49.1% ต่อ 47.3% ทั้งนี้ ทั้งสองมีแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยทรัมป์มีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ลดกฎระเบียบต่อต้านผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ทำสงครามการค้า และสนับสนุนพลังงานฟอลซิล ขณะที่คาเมลามีแนวนโยบายสร้างที่อยู่อาศัย คุมราคาอาหารและของชำ คุมค่ารักษาพยาบาล ลดภาษีคนจน แต่ขึ้นภาษีคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้เอกชนชอบนโยบายทรัมป์มากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่สภาคองเกรสจะมีการเลือกตั้งเช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะที่ผลโพลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีพรรคใดได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (หรือที่เรียกว่า "สภาแตก" หรือ divided government) ทำให้โอกาสที่ประธานาธิบดีท่านใหม่จะสามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้อย่างเต็มที่ 100% เป็นไปได้ยาก  


ในฝั่งของผลกระทบของนโยบายการเงินโลก สู่สินทรัพย์ทางการเงินนั้น เราเชื่อว่า ทิศทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ชะลอลงทำให้ Fed ปรับเปลี่ยนกลยุทธในการลดดอกเบี้ย  จากการลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual approach) เป็นการลดอย่างรวดเร็วในช่วงต้นวัฐจักร (Front-loading) เพื่อหยุดการชะลอตัวของตลาดแรงงาน  โดยอาจลดดอกเบี้ย 0.75% (Percentage point) ในปีนี้ และ 1.50% ในปีหน้า โดยเป็นการลดทุกการประชุมจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ก่อนลดระดับการลดดอกเบี้ยลง และเราเชื่อว่า กระแสการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ธนาคารกลางอื่น ๆ เริ่มลดดอกเบี้ยได้


ในส่วนของผลตอบแทนพันธบัตร เรามองว่า เส้นผลตอบแทนที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ (Normal Yield Curve หรือการที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่ระดับต่ำกว่าระยะยาว) จากภาวะกลับทิศ (Inverted Yield Curve หรือผลตอบแทนระยะยาวอยู่ต่ำกว่าระยะสั้น) เป็นผลจากการที่ตลาดเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเร็ว ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเงินเฟ้อต่ำ และความชันของเส้นผลตอบแทนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ (บ่งชี้ว่าผลตอบแทนพันธบัตรจะลงเร็วและแรงขึ้น) ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า Bull Steepening หรือการที่ผลตอบแทนระยะสั้นลงเร็วกว่าระยะยาว ซึ่งสถานการณ์นี้อาจไม่เป็นบวกต่อทิศทางการลงทุนมากนัก


ขณะที่ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเรามองว่า (1) การที่ Fed ลดดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่า ธ. กลางอื่น เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่น ทั้งเยนและยูโร รวมถึงค่าเงินบาท โดยเงินเยนมีแนวโน้มจะแข็งกว่าสกุลอื่น ๆ เนื่องจาก ธ. กลางญี่ปุ่นอาจสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกในช่วงปีหน้า ขณะที่เงินยูโรอาจแข็งค่าขึ้นปานกลาง ขณะที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง รวม 0.75% (Percentage point) ในวัฐจักรนี้


ในส่วนมุมมองภาพเศรษฐกิจโลก-ไทย ในปี 2024-25 นั้น เรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวดีเกินคาด แต่ Momentum จะชะลอลงในระยะต่อไป (Soft-landing) ต่อเนื่องปี 2025 ขณะที่ยุโรปเริ่มดีขึ้น แต่อัตราเติบโตน้อยกว่าสหรัฐ ด้านจีนจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราปรับลดประมาณการลงจาก 5.0% สู่ 4.8% และปรับประมาณการเศรษฐกิจญี่ปุ่นลงจาก 1.9% สู่ 0.0% จากครึ่งปีแรกที่แย่กว่าคาด ส่วนเศรษฐกิจไทย เราปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยใน 4Q2024 จาก 2.9% เป็น 3.5% จากมาตรการ Digital Wallet ระยะที่ 1 ที่จะช่วยให้การบริโภคดีขึ้น แต่ยังคงประมาณการทั้งปี 2024 ที่ 2.5% ส่วนในปี 2025 เรามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐและจีนจะชะลอลง ยุโรป ญี่ปุ่น และไทยดีขึ้น


ในส่วนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก เรามองว่าต้องพิจารณาควบคู่ ระหว่างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี และการเลือกตั้งรัฐสภา โดยเราวิเคราะห์เป็น 4 สถานการณ์ โดย(1) สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากสุด คือ รองประธานาธิบดีคาเมลาจะได้เป็น ประธานาธิบดีแต่สภาแตก (หรือการที่พรรคที่ครองเสียงข้างมากในสภาเป็นพรรคที่แตกต่างจากประธานาธิบดี (โอกาส 45%) ซึ่งผลส่วนใหญ่จะเป็นคล้ายปัจจุบัน ยกเว้นสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเสี่ยงมากขึ้น (2) สถานการณ์ที่เป็นไปได้รองลงมา ได้แก่ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้บ แต่สภาแตก (โอกาส 35%) จะทำให้เสี่ยงขึ้นด้านเศรษฐกิจ (สงครามการค้า) แต่ความมั่นคงอาจดีขึ้น ขณะทีสถานการณ์ที่ 3 และ 4 โอกาสเท่ากัน (10% ต่อสถานการณ์) แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยกรณีคาเมลาชนะ และพรรคเดโมแครตชนะทั้งสองสภา อาจจะดีด้านนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ผันผวน แต่ความมั่นคงระหว่างประเทศอาจมีความเสี่ยงมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าทรัมป์ชนะเลือกตั้ง และพรรครีพับบลิกกันชนะทั้งสองสภา สถานการณ์จะเสี่ยงสุด ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศ


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครมาเป็น ประธานาธิบดี ความเสี่ยงสงครามเย็นกับจีน (China derisking) จะยังอยู่ ทำให้จีนเปลี่ยนกลยุทธ์ หันมาเน้นการสนับสนุนภาคการผลิตและส่งออก แต่ไม่สนับสนุนภาคอสังหาฯ รวมถึงภาคการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจจีนเสี่ยงชะลอลง และความเสี่ยงสงครามการค้ามีมากขึ้น


ในส่วนของทิศทางเศรษฐกิจไทย และผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น เรามองว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอลงมากจากเศรษฐกิจในประเทศ ผลจากนโยบายการเงิน-คลังตึงตัว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ทำให้ปลดล๊อคโครงการ Digital Wallet  จากเดิมที่จะทำโครงการวงเงิน 4.5 แสนล้านบาท ผ่านการใช้งบปี 2567 และ2568 ที่เสี่ยงต่อการผิด พรบ. งบประมาณ มาเป็นการแจกเงิน 1.45 แสนล้านบาทก่อนสิ้นเดือน ก.ย. ทำให้เศรษฐกิจที่มี Momentum ชะลอลงในไตรมาสที่ 2-3 กลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4


เรามองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2024-25 จะได้ปัจจัยบวกจากมาตรการการเงินการคลัง แต่ส่งออกเสี่ยงชะลอตามเศรษฐกิจสหรัฐและจีนที่ชะลอลง โดยเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2024 ต่อเนื่อง 2025 อาจเริ่มขยายตัวได้จากนโยบายการเงินการคลังเอื้อหนุน โดยในส่วนนโยบายการคลัง เรามองว่างบลงทุนจะขยายตัวได้ 10.6% จากปีนี้ ขณะที่ ธปท. มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยได้ 0.75% (percentage point) จากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอลง รวมถึงผลจากดอกเบี้ยสหรัฐที่จะลดลง 2.25% (percentage point) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากปัจจุบัน ขณะที่ภาคการผลิตโลกล่าสุดเริ่มเข้าสู่ Late-Cycle อาจทำให้การส่งออกไทยใน 3-6 เดือนข้างหน้าชะลอลง และกระทบเศรษฐกิจไทยระยะต่อไป


ในส่วนกลยุทธการลงทุน เรามองว่าตลาดจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยได้ผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่จะลดลง ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดใหม่เติบโตดีเมื่อเทียบกับตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนั้น เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่และไทย ขณะที่นโยบายรัฐบาลใหม่ ทั้ง Digital Wallet กองทุนวายุภักษ์ และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 จะช่วยเอื้อต่อการลงทุนได้ระดับหนึ่ง แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก รวมถึงความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่มากขึ้นจะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยในระดับหนึ่ง เรามองว่า บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเป็นหลัก ที่ได้รับปัจจัยบวกจากแรงสนับสนุนด้านนโยบาย และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จะสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนภายนอกและค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าได้ เราแนะนำ BDMS CPALL HANA และ LHHOTEL เป็นหุ้นเด่นในไตรมาสนี้ โดยมีเป้าสำหรับ SET Index ที่ 1,500 จุด ในปี 2024 และ 1,550 จุดในปี 2025 ตามลำดับ


ขอให้นักลงทุนโชคดี


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX