ลงทุนในไทยอย่างไรท่ามกลาง 4 ความเสี่ยง

Experts pool

Columnist

Tag

ลงทุนในไทยอย่างไรท่ามกลาง 4 ความเสี่ยง

Date Time: 21 ก.ค. 2566 16:33 น.

Video

“ตะวันออกกลาง” ความหวังใหม่ดันรายได้ท่องเที่ยว เปิดอินไซด์จากทริป Etihad สายการบินเชื่อมโลก | BrandStory EP.28

Summary

Latest


ในปัจจุบัน สัญญาณเศรษฐกิจไทยดูจะมีความเสี่ยงจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจนกระทบกับภาคการส่งออก (2) ภาคเกษตร ที่จะเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะ El Nino (3) ความตึงตัวภาคการเงินและปัญหาหนี้ครัวเรือน และ (4) ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองจนส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ

 

ปัจจัยแรก ในส่วนของภาคการส่งออก ภาพรวมการส่งออกในช่วง 5 เดือนแรก ยังคงติดลบอยู่ถึง 5.5% กลุ่มสินค้าที่ติดลบมากที่สุด ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ อัญมณี และเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ การส่งออกที่ลดลงทำให้คำสั่งซื้อลดลง จาก 19 อุตสาหกรรม เพิ่มเป็น 25 อุตสาหกรรม ในเดือน พ.ค. ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน พ.ค. หดตัวต่อเนื่อง 3.14% เช่นเดียวกับอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงมาอยู่ที่ 60.2% ทำให้บางบริษัทจำเป็นต้องลดโอที ลง ขณะที่บางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อลูมิเนียม รถยนต์ และอัญมณี เริ่มลดกำลังการผลิตแล้ว เราวิเคราะห์ว่าการส่งออกในสินค้าอุตสาหกรรมหลักยังคงหดตัวต่อเนื่อง

เช่น คอมพิวเตอร์ ยาง เม็ดพลาสติก น้ำมัน บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่สินค้าอุตสาหกรรมบางตัวเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้าง บ่งชี้ว่าอาจเป็นเพราะการที่สินค้าคงคลังในประเทศพัฒนาแล้วเริ่มลดลง ทำให้เราคาดว่ามูลค่าการส่งออกรวมของไทยในรูปดอลลาร์สหรัฐจะหดตัวประมาณ 2% ในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยฐานที่ค่อนข้างสูงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญต่างๆ ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนั้นทั้งนี้การส่งออกที่ชะลอตัวจะส่งผลต่อภาคการผลิตที่มีความเสี่ยงชะลอตัวต่อเนื่อง จะทำให้เกิดการ Destocking ทำให้ภาคเอกชนชะลอการจ้างงาน และดึงให้การบริโภคและลงทุนชะลอลงในระยะต่อไป

 

ปัจจัยที่สอง ภาคการเกษตรกำลังเผชิญภาวะ El Nino ฉุด ทำให้ผลผลิตน้อย โดยอุตสาหกรรมเกษตรสำคัญ เช่น การส่งออกมันสำปะหลัง คาดว่าจะหายไปกว่า 30% ขณะที่ยางพาราคาดว่าจะหดตัวกว่า 10% จากความต้องการผลิตถุงมือยางและยางรถยนต์ที่ลดลง เราวิเคราะห์ว่าภาวะ El Nino จะทำให้รายได้เกษตรกรชะลอลง จากปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลง ขณะที่ราคาไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก จากความต้องการโลกที่ชะลอลง โดยเราคาดว่ารายได้เกษตรกรจะขยายตัวประมาณ 4-6% ในปีนี้ ชะลอลงจาก 13% ในปีก่อน และกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนในชนบท

 

ปัจจัยที่สาม ในส่วนของภาคการเงิน ประเด็นล่าสุดที่ต้องจับตา ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับวิธีการคิดหนี้ครัวเรือนใหม่ ทำให้ล่าสุด ณ ไตรมาส 1/2566 หนี้ครัวเรือนขึ้นมาอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.6% ต่อ GDP นอกจากนั้น ธปท.ประกาศว่าภายในปลายเดือน ก.ค.นี้ จะออกแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน เป้าหมายคือพยายามลดหนี้ครัวเรือนให้อยู่ระดับต่ำกว่า 80% ของ GDP โดยแนวทางการแก้ปัญหาจะครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ 4 กลุ่ม ตั้งแต่ 1.หนี้เสีย (NPL) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ค้างชำระเกิน 90 วัน) โดยเฉพาะหนี้ที่เกิดในช่วงโควิด (รหัส 21) 2.หนี้ที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่ปิดจบไม่ได้ 3.หนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเร็ว และ 4.หนี้นอกระบบ

 

สำหรับแนวทางที่ ธปท.จะดำเนินการ คือ 1) เกณฑ์ Responsible Lending (RL) ที่กำหนดให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมตลอดวงจรหนี้ ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ หนี้มีปัญหา จนถึงการขายหนี้ โดยลูกหนี้ต้องได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม ทันเวลา มีคุณภาพ และเพียงพอ มีแนวทางการดูแลลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง ให้เห็นทางปิดจบหนี้ได้

 

2) กลไก Risk-based Pricing (RBP) เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ และช่วยให้ลูกหนี้จ่ายอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงและได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โดยหลักการสำคัญคือลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำควรได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำลง และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง

 

และ 3) มาตรการ Macroprudential Policy (MAPP) ให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่อสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และลูกหนี้มีเงินเหลือพอดำรงชีพ ไม่นำไปสู่การก่อหนี้สินเกินตัว เช่น การคุมหนี้ไม่ให้อยู่ในระดับสูงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือน (DSR)

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีกระแสข่าวว่า ธปท.เตรียมจะแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังในสินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต แบบ “หักดิบ” โดยจะนิยามผู้ที่เป็นหนี้เรื้อรังคือต้องผ่อนชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นตลอดช่วง 2 ปีแรก หรือ 24 งวด ซึ่งหากผู้กู้รายใดเข้าข่ายจะมีการออกหนังสือแจ้งเตือนในปีที่ 2 และหากยังไม่ปรับให้ดีขึ้น ในปีที่ 3 ก็จะติดสถานะ “PD” คือเป็นหนี้เรื้อรังแล้ว ซึ่งจะเป็นมาตรการบังคับให้เข้าสู่กระบวนการแก้ไข โดย

(1) จะให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ลดดอกเบี้ย 50% เช่น บัตรเครดิตที่จ่ายอยู่ 16% ก็ให้เหลือ 8% แล้วกำหนดงวดชำระให้จบภายใน 18 งวด หรือปีครึ่ง ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลจะให้ลดดอกเบี้ยจาก 24% ก็เหลือ 12% แล้วให้ผ่อนชำระให้จบภายใน 48 งวด หรือใน 4 ปี และ

(2) จะติดธง หรือ “Black list” ให้ลูกหนี้ดังกล่าว ทำให้ลูกหนี้จะกู้ใหม่ไม่ได้เลย ก็จะลดหนี้ครัวเรือนได้ตามเป้า เรามองว่ามาตรการแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังในสินเชื่อรายย่อยที่เป็นหนี้เรื้อรัง จะทำให้หนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เนื่องจาก (1) เป็นการบังคับธนาคารลดดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้ธนาคารไม่อยากปล่อยหนี้ใหม่ที่เสี่ยงอีก (2) การติด Black list ทำให้ผู้ที่มีปัญหาหนี้ และไม่สามารถหาเงินกู้จากสถาบันการเงินอื่นได้ หันไปกู้หนี้นอกระบบแทน

 

นอกจากนั้นในส่วนนโยบายการเงิน เป็นไปได้ว่า กนง. จะใช้ประเด็นที่ว่ามีมาตรการแก้หนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ฉะนั้นดอกเบี้ยนโยบายจะใช้เพื่อนำนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ หรือ Normalization มากขึ้น โดยล่าสุดหลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อไทยในเดือน มิ.ย. ที่ต่ำสุดในรอบ 22 เดือน ที่ 0.23% จากราคาอาหารและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง แต่เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้สัมภาษณ์ Bloomberg ว่า เงินเฟ้อที่ลดต่ำลงไม่มีผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงิน และ กนง.กังวลเงินเฟ้อในปีหน้ามากกว่า บ่งชี้ว่า กนง.พร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

 

ปัจจัยที่สี่ ได้แก่ สัญญาณทางการเมืองที่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ ว่าจะเกิดสุญญากาศทางการเมือง และมีความเป็นไปได้มากขึ้นว่ากว่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารราชการได้ก็จะเป็นในเดือน ก.ย.-ต.ค. ล่าช้ากว่า Timeline ของ กกต. ในเดือน ส.ค. ภาพดังกล่าวจะยิ่งกระทบต่ อการเบิกจ่ายภาครัฐ และการบริหารราชการแผ่นดิน นำไปสู่ภาวะ "นโยบายการคลังตึงตัวทางพฤตินัย" โดยนอกจากจะกระทบต่อกระบวนการจัดทำงบประมาณให้ล่าช้าไปถึง 2-3 ไตรมาสแล้ว ยังกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ให้ชะลอลง เนื่องจากโครงการใหญ่ๆ อาจต้องรอการตัดสินใจของรัฐบาลใหม่ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งงบประจำและลงทุน ซึ่งจะมีผลสืบเนื่องต่อการจัดซื้อจัดจ้าง และกระบวนการภาครัฐอื่นๆ ในระยะต่อไป

 

นอกจากนั้นในปัจจุบันภาคธุรกิจเริ่มกังวล และเข้าสู่ Wait and See Mode โดยเริ่มจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ทำฉากทัศน์สำรองกรณีเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงมีกลยุทธ์บริหารต้นทุนทางการเงิน ตัดต้นทุนดำเนินธุรกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงไม่ลงทุนต่อท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้น ขณะที่การจับจ่ายของประชาชนก็จะลดลง โดยเฉพาะการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ เช่น อสังหาฯ รถยนต์ หรืออื่นๆ เนื่องจากความกังวลในรายได้ในอนาคต ซึ่งสะท้อนจากผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มองว่าในปีนี้ยอดขายและยอดโอนอาจหายไปกว่า 10-20% โดยจะรุนแรงในไตรมาส 3

 

ในส่วนการท่องเที่ยว หากความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงไปจนถึงไตรมาส 4 ซึ่งเป็น High Season ก็จะกระทบกับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะกังวลต่อความปลอดภัย ทำให้กระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวที่แทบเป็นเครื่องยนต์เดียวของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ด้วยภาพเศรษฐกิจและการเมืองยังไม่ชัดเจน กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงานในไตรมาสสองจะยังเติบโตได้ดี เช่น BBL ADVANC OSP BDMS BEM 

2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH PTT 

3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำหุ้นเก็งกำไร หากประเด็นการเมืองในไทยเปลี่ยนแปลง เลือก GULF GPSC CPALL SIRI SC 

4. หาก SET ปรับลงมาแถว 1,450 จุด มองเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC SCGP OR ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และกลุ่มท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากประเด็นการเมือง.


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX