ลงทุนอย่างไรดีเมื่อเศรษฐกิจโลกและไทยเสี่ยงถดถอย

Experts pool

Columnist

Tag

ลงทุนอย่างไรดีเมื่อเศรษฐกิจโลกและไทยเสี่ยงถดถอย

Date Time: 21 เม.ย. 2566 13:02 น.

Video

ตัวตนใหม่ Kodak ฟื้นจากความตาย ตอนนี้กลายเป็นธุรกิจอะไร ? | Digital Frontiers EP.33

Latest


ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ภาพปัจจัยเศรษฐกิจต่างๆ บ่งชี้ถึงความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในระยะต่อไปที่มากขึ้น ทำให้เราเชื่อว่าน่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐฯ มากขึ้นและจะทำให้เศรษฐกิจที่ประเทศอื่นๆ ชะลอลง โดยปัจจัยที่เราจะกล่าวถึงมี 5 ประเด็นดังนี้

ประเด็นแรก ได้แก่ การปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) โดยในช่วงต้นเดือน เม.ย. กลุ่ม OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ค. ซึ่งนอกเหนือการคาดการณ์ของตลาด (นำโดยซาอุดีอาระเบียที่จะลด 5 แสนบาร์เรลต่อวัน) ซึ่งเมื่อรวมกับที่รัสเซียประกาศไว้ก่อนหน้าว่าจะลดกำลังการผลิต 5 แสนบาร์เรลต่อวันไปจนถึงสิ้นปี ก็จะให้กำลังการผลิตลดเพิ่มเติมรวมประมาณ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันนับตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป ซึ่งหลังจากการประกาศดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นประมาณ 7%

เรามองว่า สาเหตุที่ OPEC ประกาศลดกำลังการผลิตอีก เป็นเพราะ (1) แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาด น่าจะทำให้การประมาณการความต้องการน้ำมันของโลกผิดจากที่ OPEC เคยคาด โดยในรายงานเดือน มี.ค. OPEC เคยคาดว่าความต้องการน้ำมันโลกจะอยู่ที่ 103.4 บาร์เรลต่อวัน ณ 4Q/23 ต่างจากที่เราคาดว่าจะอยู่ที่ 96 ล้านบาร์เรลต่อวัน (2) ราคาน้ำมันดิบลดต่ำมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดวิกฤติธนาคารช่วงต้นเดือน มี.ค. โดยลดจาก 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือน มาอยู่ที่ 71 ดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน ก่อนที่จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 76 ดอลลาร์ก่อนลดกำลังการผลิต ทั้งนี้ ในส่วนของผลกระทบของการปรับขึ้นครั้งนี้ เบื้องต้นเรามองว่าราคาในระยะต่อไปน่าจะปรับขึ้นจาก 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงก่อนหน้ามาอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามประมาณการของเรา ซึ่งการขึ้นของราคาในระดับนี้ ไม่น่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ประเด็นที่สอง การปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยรายงาน World Economic Outlook ของ IMF ฉบับ เม.ย. 2023 ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก เหลือ 2.8% จาก 2.9% ในเดือน ม.ค. ส่วนในปีหน้า IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.0% ปรับลดจาก 3.1% จากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่สูงอย่างยืดเยื้อ (persistent inflation) และถึงแม้ว่าความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาลุกลามในระบบธนาคาร (contagion risk) หลังวิกฤติธนาคารในยุโรปและสหรัฐฯ จะบรรเทาลง แต่วิกฤติที่เกิดขึ้นได้เพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงโดยง่าย

ประเด็นที่สาม ได้แก่ ตัวเลขตลาดแรงงาน เงินเฟ้อ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงทั้งหมด โดยภาพรวมของตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ประกาศในเดือน มี.ค. เป็นทิศทางชะลอตัวทั้งหมด โดยในส่วนตลาดแรงงาน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ตำแหน่งงานเปิดใหม่ และการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ชะลอตัวทั้งสิ้น โดยเริ่มเห็นการชะลอของการจ้างงานภาคบริการ เช่น การเงิน และบริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ บ่งชี้ถึงการชะลอการจ้างงานเข้าสู่ภาคบริการเพิ่มขึ้น โดยเรามองว่า ในเดือนต่อๆ ไป จะเริ่มเห็นการชะลอลงรุนแรงขึ้นตามภาพเศรษฐกิจที่ชะลอลง

ด้านเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน มี.ค. ขยายตัว 5% ต่ำกว่าคาด และชะลอตัวลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี และเมื่อพิจารณารายละเอียด พบว่าเงินเฟ้อชะลอทั้ง 3 องค์ประกอบใหญ่ ได้แก่ (1) โภคภัณฑ์ จากพลังงาน (2) เงินเฟ้อจาก Supply chain ทรงตัว และ (3) เงินเฟ้อจากภาคบริการ ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ก็เริ่มลดลง ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงต่อเนื่อง โดย (1) ตัวเลขยอดค้าปลีก ปรับลดลง -1% (2) การผลิตภาคอุตสาหกรรม หดตัว -0.5% ต่อเดือน และ (3) การคาดการณ์เงินเฟ้อใน 1 ปีข้างหน้าของ U. of Michigan ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% จาก 3.6% ในเดือน มี.ค. โดยเราวิเคราะห์ว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของ OPEC+ ซึ่งจะยิ่งเป็นแรงกดดันด้านต้นทุน ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคยิ่งปรับลด กำลังการผลิตรวมถึงการใช้จ่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันเศรษฐกิจในระยะถัดไป

ประเด็นที่สี่ รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Fed Minute) ที่ระบุว่าจะเกิด Recession แบบอ่อนๆ ในปีนี้ แต่ก็ยังคงขึ้นดอกเบี้ย โดยเราเห็นว่า คณะกรรมการฯ พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยจนเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเพื่อให้เงินเฟ้อเข้าไปอยู่ในเป้าหมาย โดยสภาพคล่องทางการเงินจะต้องตึงตัวจนสินเชื่อหดตัวลงและทำให้ความเสี่ยงวิกฤติการเงินมีมากขึ้น และด้วยทิศทางเงินเฟ้อใหม่ของสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมาก ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ณ ปลายปี 2023 จะอยู่ในระดับสูงกว่าเงินเฟ้อถึงเกือบ 2% ทำให้เราเชื่อว่าอาจจะเกิดวิกฤติการเงินในลักษณะเช่นเดียวกับวิกฤติธนาคารในช่วงที่ผ่านมาได้อีก

ประเด็นสุดท้าย ในส่วนของไทย เรามองว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปสูงขึ้น เห็นได้จากรายงานเสถียรภาพทางการเงินของ ธปท. ไตรมาส 1/23 ที่ระบุเสถียรภาพภาคการเงินไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่นโยบายการเงินตึงตัวเริ่มส่งผลถึงเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้สินเชื่อชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญขณะที่คุณภาพสินเชื่ออุปโภคบริโภคผ่านตัวเลข NPL แย่ลงเช่นกัน ด้านความสามารถในการชำระหนี้และการทำกำไรของภาคธุรกิจลดลง โดยเฉพาะภาคการผลิต ผลจากส่งออกและภาคการผลิตที่หดตัว

ด้วยภาพความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและไทยที่มากขึ้น ทาง InnovestX จึงได้มีมุมมองระมัดระวังในการลงทุน โดยสินทรัพย์ที่เรายังคงแนะนำได้แก่ตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้คุณภาพดี ในส่วนหุ้นต่างประเทศ เราแนะนำหุ้นที่มีผลประกอบการดี มีหนี้สินต่ำ มีความสามารถในการกำหนดราคาในช่วงเศรษฐกิจผันผวน (Pricing power)

ในส่วนของไทย เรามองว่าเป็นโอกาสซื้อสะสมในช่วงเศรษฐกิจและตลาดการเงินผันผวน โดยเราคัดเลือก 5 หุ้นเด่นในธีม Best of the Best ได้แก่ AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF ที่มีจุดแข็งร่วมกันคือ (1) เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม (2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง (3) กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้นและสูง (Outperform) กว่าตลาด

ในท้ายที่สุด เราเชื่อว่าแม้เศรษฐกิจจะมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องทางให้ลงทุนได้ แต่นักลงทุนจะต้องมีสายตาที่เฉียบคม จับจังหวะและวิเคราะห์ภาพใหญ่ (Macro) และภาพเล็ก (Micro) ให้ดีด้วย


Author

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX