เข้าสู่ยุคสมัย ทรัมป์ 2.0 อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ต่อจาก “โจ ไบเดน”
โดยนี่ถูกหยิบยกจากหลายฝ่ายว่าเป็นจุดสูงสุดของการกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
ขณะ “โดนัลด์ ทรัมป์" กล่าวสุนทรพจน์ ลั่น! สหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 ของตนเองจะเป็น “ยุคทอง” พร้อมสัญญากับชาวอเมริกันว่าจะจัดการกับความชั่วร้าย การทุจริตในระบบการเมือง ตลอดจนปกป้องอธิปไตย พัฒนาเศรษฐกิจ สนับสนุนพลังงาน ก๊าซ น้ำมัน เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่ง รุ่งโรจน์ไปพร้อมกัน
หากแต่ไฮไลต์สำคัญของสุนทรพจน์ราว 30 นาที “ทรัมป์” ยังย้ำถึงการประกาศให้สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในทุกด้าน ทวงคืนตำแหน่งชาติมหาอำนาจผู้ทรงอิทธิพลของโลก
ตอกย้ำสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะไม่มีคำว่าอ่อนข้อ และจะยิ่งใหญ่กว่าที่เคย
สำหรับความสำคัญนั้น สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วนราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด
ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 มีมูลค่า 54,956.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การนำเข้า สหรัฐฯ ก็เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย มีสัดส่วนราว 6% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด หรือมีมูลค่า 19,528.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่งผลให้ไทยอยู่ในฐานะประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่อันดับที่ 12 ของโลก และคาดว่าจะเสี่ยงได้รับผลกระทบโดยตรงกับนโยบายทางการค้าที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะบังคับใช้อย่างเข้มข้น เพื่อลดบทบาทของจีนในตลาดโลก
นั่นทำให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จากคาดการณ์ที่ว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น
เนื่องจากสหรัฐฯ ประกาศนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก การปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ตลอดจนการดึงการลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ เพื่อสร้างการจ้างงานภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็ได้จับตาประเทศที่มีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนเพื่อตั้งฐานการผลิต เพราะต้องการเลี่ยงสงครามการค้าและมาตรการทางภาษีจากสหรัฐฯ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศดังกล่าว
ทั้งนี้ มาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ จะออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ภายหลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (The United States Trade Representative) หรือ USTR เรียบร้อย
โดยมีรายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยมีแผนที่จะนำคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ ชุดใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อการเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าจากไทย
ด้านข้อมูลวิเคราะห์ของ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เผยว่า 6 เดือนจากนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเตรียมแผนรับมือของผู้ประกอบการไทย ที่มาตรการกีดกันทางภาษีรอบใหม่จะชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
มาตรการการค้าใหม่ 2 นโยบาย
1. อัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานทั่วไป (Universal Baseline Tariff)
2. ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
โดยธุรกิจไทยที่มีการเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงเสี่ยงได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่อาจมีการขึ้นภาษีนำเข้าสูงถึง 40%-60%
เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัวรวดเร็ว เช่น Electrical machines, Solar Panels และ Air Conditioners แม้จะมีการเกินดุลไม่มากนัก แต่มีอัตราการเติบโตสูง
ทั้งนี้ สินค้ากลุ่ม Solar Panels เป็นกลุ่มที่อยู่ในข่ายได้รับผลกระทบจากความกังวลด้าน trade circumvention สินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่า 4 พันล้าน USD หรือ 8% ของการส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด คือ โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนเชิงนโยบายของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ใช้สงครามการค้าเป็นอาวุธในสนามรบ สร้างความท้าทายให้กับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง “เศรษฐกิจไทย” ด้วย
เพราะภาคการส่งออกกำลังอยู่ภายใต้พายุลูกใหม่และอาจใหญ่กว่าเดิม จากความเสี่ยงสงครามการค้าและการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากปัจจัย oversupply ในจีนที่กระทบการส่งออกในหลายธุรกิจ
สอดคล้องกับไอเอ็มเอฟ เตือนถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก จากนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีที่อาจนำไปสู่การลดลงของการลงทุน อีกทั้งธนาคารโลกยังชี้ว่า สงครามการค้าที่ก่อโดยสหรัฐฯ จะทำให้การค้าโลกและกิจกรรมทางเศรษฐกิจสะดุด การขยายตัวของโลกในปี 2568 จะชะลอลงอยู่ที่ 3.1% เท่านั้น ซึ่งนี่อาจทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวลดลง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney