บ้านเขียว
หลังจากกรมธนารักษ์ได้รวบรวมพื้นที่ราชพัสดุ อาคารสำนักงานรัฐ อาคารที่พักข้าราชการ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างโบราณ จำนวน 200 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำมาเปิดให้ภาคเอกชนเช่าทำประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์และเชิงพาณิชย์นั้น
ปัจจุบันกรมธนารักษ์ได้เลือกสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม หรือสถาปัตยกรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ทั้งหมด 13 หลัง โดยกำหนดจะปรับปรุงบ้านโบราณเหล่านี้ เพื่อเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมได้ภายใน 5 ปี (2563-2567) โดยกำลังเปิดให้เอกชนที่สนใจลงทุนลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ของกรมนั้น
สิ่งปลูกสร้างและอาคารที่น่าสนใจประกอบด้วย “บ้านเขียว” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 อายุมากกว่า 100 ปี มีเนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 72 ตารางวา เป็นบ้านที่หากใครชอบเรื่องลี้ลับคงถูกใจเป็นอย่างมาก เพราะมีตำนานเล่าขานกันมาช้านาน
เจ้าของบ้านหลังนี้คือขุนพิทักษ์บริหาร หรือพึ่ง มิลินทวนิช นายแขวงเสนาใหญ่ เคยเข้ารับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขุนพิทักษ์ฯ เป็นเจ้าของกิจการเรือสองชั้นที่เรียกว่าเรือเขียว เรือโดยสารขนาดใหญ่ ที่ใช้รับส่งผู้โดยสารระหว่างผักไห่-ท่าเตียน กรุงเทพฯ และผักไห่-ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
“บ้านเขียว” เป็นบ้านทรงปั้นหยาสองชั้นยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทอง ถูกชาวบ้านเรียกกันติดปาก “บ้านเขียว” เพราะเดิมทาสีเขียวเนื่องจากขุนพิทักษ์ฯเกิดวันพุธ
ส่วนเรื่องราวลี้ลับถูกแพร่กระจายออกไป หลังจากนายฟื้น ผู้ดูแลบ้านคนสุดท้ายมีอาชีพทำขนมจีนขาย ได้เสียชีวิตลงที่เรือนหลังเล็ก จนมีข่าวลือว่าเป็น “บ้านผีดุ” ซึ่งยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้
มาที่หลังที่ 2 ได้แก่ “วังค้างคาว” กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่เขตคลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนเชียงใหม่ เนื้อที่ 2.1 ไร่ อยู่ในการดูแลของกรมธนารักษ์ เดิมเป็นที่พักเก็บสินค้า
และโรงเก็บอากร มีลักษณะเป็นอาคารแบบเก๋งจีน เจ้าของเดิม คือ พระประเสริฐวานิช (เขียว) เป็นขุนนางเชื้อสายจีน รับราชการอยู่กรมท่าซ้าย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ทำหน้าที่ดูแลการค้าขายในส่วนของคนจีน ต่อมาบุตรคือพระประเสริฐวานิชได้บริจาคบ้านหลังนี้ให้กระทรวงการคลัง
โดยตัวอาคารถูกปิดร้างไม่ใช้ประโยชน์มาหลายสิบปี ทำให้มีค้างคาวเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเวลาพลบค่ำค้างคาวมักจะบินออกจากตึกไปหากิน เป็นสาเหตุให้คนเรียกอาคารเก่าหลังนี้ว่า “วังค้างคาว”
ถัดมาคือ “บ้านวังดอกไม้” ตั้งอยู่ที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่เก่าแก่และโดดเด่นเรื่องความสวยงาม เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (พระราชโอรสองค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) บิดาแห่งการรถไฟไทย
หลังจากเจ้าของวังสิ้นพระชนม์แล้ว ทางราชสกุลบุรฉัตรได้ขายวังนี้ให้กรมป่าไม้ และถูกใช้เป็นที่ทำการของกรมป่าไม้ ก่อนจะกลายเป็นสำนักงานโรงงานกระดาษบางปะอินและสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม ในเวลาถัดมา จนสุดท้ายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร ซึ่งปัจจุบันนั้นมีการปรับปรุงและบูรณะใหม่จนวังแห่งนี้กลับมาสวยงามดังเดิม
หลังสุดท้าย คือ “อาคารที่ว่าการอำเภอบางกระทุ่ม” (หลังเก่า) จังหวัดพิษณุโลก มีอายุไม่น้อยกว่า 90 ปี เนื้อที่ 6 ไร่ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นที่ว่าการอำเภอเก่าแก่อีกหลังหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ เนื่องจากมีลักษณะเป็นเรือนทรงปั้นหยา พื้นเป็นไม้ตะแบก ยกใต้ถุนสูง ชั้นเดียว ตามแบบฉบับบ้านโบราณสมัยก่อน อีกทั้งภายในพื้นที่ยังมีโรงเก็บพัสดุอีกหนึ่งหลัง เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างเมื่อปี พ.ศ.2519 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชน และกลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยวแลนด์มาร์ก” ที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก.
นันท์ชยา ชื่นวรสกุล