
นายวิธาน เจริญผล ผู้อำนวยการคลัสเตอร์ธุรกิจบริการ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจผลพฤติกรรมผู้บริโภคไทย หัวข้อ ถอดหน้ากากผู้บริโภคยุค 4.0 ว่า แม้สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของคนไทยมากขึ้น โดยมีผู้บริโภคเกือบ 50% เชื่อการโฆษณาและข้อมูลที่แชร์บนโลกออนไลน์ แต่พบว่ายังมีสินค้าบางประเภทที่สื่อโซเชียลมีเดียยังไม่สามารถเข้าถึงได้เต็มที่ และจำเป็นต้องใช้การโฆษณาแบบดั้งเดิม อาทิ โฆษณาผ่านหน้าร้าน สื่อโทรทัศน์ หรือทีวี และการบอกต่อกันปากต่อปาก ช่วยกระตุ้นยอดขายอยู่
โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ต้องพึ่งการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ เพราะกลุ่มสินค้าเหล่านี้ไม่ต้องใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจมาก อีกทั้งผู้ซื้อยังคุ้นเคยกับยี่ห้อและพรีเซ็นเตอร์ที่คุ้นตามากกว่า ส่งผลให้มีผู้บริโภคถึง 1 ใน 4 เชื่อโฆษณาจากจอโทรทัศน์อยู่ นอกจากนี้โทรทัศน์ยังมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้สูงอายุ โดย ผู้สูงอายุกว่า 32% เห็นว่าสื่อทีวีมีอิทธิพลในการเลือกซื้อสินค้าทุกประเภท
ส่วนสินค้ากลุ่มความงามและบริการเสริมความงาม การใช้วิธีโฆษณาแบบปากต่อปาก ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อและใช้บริการอยู่มากเช่นกัน ขณะที่สินค้าแฟชั่น สินค้าหรูหรา และเฟอร์นิเจอร์ จำเป็นต้องอาศัยโฆษณาผ่านป้ายหน้าร้านและป้ายตามท้องถนน เนื่องจากผู้บริโภค 20% เห็นว่า ป้ายโฆษณาช่วยกระตุ้นให้รู้สึกอยากเข้าไปทดลองซื้อสินค้า ดังนั้นการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องลงโฆษณาในสื่อดั้งเดิม เพียงแต่ต้องเลือกลงให้เหมาะกับประเภทสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม กลุ่มท่องเที่ยวและร้านอาหาร เป็นกลุ่มสินค้าและบริการประสบความสำเร็จในโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียสูดสุด โดยมีปริมาณเกินครึ่งเมื่อเทียบกับสื่อประเภทอื่น.