
จะว่าเป็นเรื่อง “เซอร์ไพรส์” ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นายกฯ “อนุทิน” ได้เกริ่นถึงการยุบสภามาสักพักหนึ่งแล้ว โดยมีการคาดการณ์กันด้วยซ้ำว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.แต่ด้วยสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้หลายคนอาจจะแปลกใจอยู่เล็กน้อย
แต่ที่สนใจว่า คือ ในแวดวงเศรษฐกิจและการเมืองกลับมีกระแสข่าวลือ และคาดเดากันไปต่างๆนานา ว่า “หลังการยุบสภาครั้งนี้จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปจริงหรือไม่ หรือจะมีเหตุสะดุดบางอย่างเกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตาม หากว่ากันไปตามกฎหมาย เมื่อมีการยุบสภาแล้ว การเลือกตั้งใหม่ต้องจัดขึ้นภายใน 45-60 วัน นับจากวันที่ยุบสภา ซึ่งในกรณีนี้คาดว่าจะอยู่ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.-10 ก.พ.2569
ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ส่วนใหญ่ไม่ได้ตกใจอะไรมาก คล้ายว่าจะ “ชินชา” กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “จิตวิญญาณ” ของสังคมไทยไปแล้ว และด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ยังไม่มีการลงทุนใหม่ หรือการขยายกิจการที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เพียงแต่อาจจะเสียดายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้และยังไม่ได้นำออกมาใช้ทันเวลา
สิ่งที่นักธุรกิจจับตาจริงๆ คือ ความไม่แน่นอนระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงช่วงหลังการเลือกตั้ง ที่อาจกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีแนวโน้มเข้าสู่โหมดรอดูทิศทาง (wait-and-see) ที่สำคัญหากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า หรือเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่ได้สักที สุญญากาศลากยาวออกไปการลงทุนต่างประเทศที่กำลังจะเข้ามาชะลอตัว และอาจกระทบต่อการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ การเบิกจ่ายงบประมาณ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และหากถามว่า “ปัจจัยสำคัญ” ที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายการเลือกตั้งในครั้งนี้ หลักๆ น่าจะเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ การตอบสนองต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งการรบในสนามจริง และการรบในสงครามข่าวสารและการฑูต ซึ่งอาจจะต่อเนื่องถึงนโยบายทางการทหาร รวมทั้งการจัดการกับสแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ข้ามชาติ
ส่วนอีกประเด็นที่เป็นจุดตายตลอดกาลของประเทศไทย คือ นโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างคนละครึ่ง เที่ยวไทยคนละครึ่ง ที่ตอนนี้ทุกพรรคน่าจะใช้ในการหาเสียงเป็นพื้นฐานกันแล้ว คนไทยน่าจะต้องการมาตรการที่เป็น “รัฐสวัสดิการ” ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้กับคนไทยในระยะยาวมากกว่าการถูกหลอกด้วยมาตรการกระตุ้นระยะสั้นต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด สิ่งที่คนไทยน่าจะมีบทเรียนมากขึ้นคือ การเลือกตั้งอย่างมีสติ ไม่เลือกจากผลประโยชน์ที่เขาให้ มองถึงรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งว่าเราต้องการให้ประเทศไทยเดินไปทางไหน
หลังจากต้องเผชิญกับเกมการเมือง และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่ได้เสียงมากที่สุดกลายเป็นฝ่ายค้าน หรือการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี 3 คนใน 2 ปีและการมีรัฐบาลอายุสั้นที่ทำให้คนไทยฝันค้าง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม