เช็กลิสต์ 5 เสาหลักกอบกู้เศรษฐกิจ Quick Big Win ของรัฐบาลอายุงาน 2 เดือนครึ่ง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เช็กลิสต์ 5 เสาหลักกอบกู้เศรษฐกิจ Quick Big Win ของรัฐบาลอายุงาน 2 เดือนครึ่ง

Date Time: 15 ธ.ค. 2568 04:00 น.

Summary

การบริหารราชการแผ่นดินของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ตลอด 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าอยู่ในภาวะคาบลูกคาบดอก แม้จนนาทีสุดท้ายก่อนตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568

Latest

ยุบสภา สะเทือนนโยบายหลักต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ เผยคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ฝันค้าง

การบริหารราชการแผ่นดินของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ตลอด 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าอยู่ในภาวะคาบลูกคาบดอก แม้จนนาทีสุดท้ายก่อนตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568

เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสมในการแต่งตั้งบุคคลขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การเร่งโยกย้ายข้าราชการครั้งใหญ่และถี่ยิบ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการวางกำลังทัพ กรุยทางสู่การเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้ ตลอดจนการรับมือกับภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย

ผลงานของเขาสะท้อนผ่านผลสำรวจจากสวนดุสิตโพล ซึ่งเมื่อเดือน ก.ย.2568 อนุทินคือนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด คะแนนนิยมพุ่งขึ้นที่ 55.98% แต่หลังเข้าปฏิบัติหน้าที่ 1 ต.ค.2568 สวนดุสิตโพลสำรวจความนิยมของเขาอีกครั้ง ณ สิ้น พ.ย.2568 ปรากฏว่า คะแนนของอนุทินลดเหลือ 23.46% ตามหลังคะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ น.ส.รักชนก ศรีนอก จากพรรคประชาชน

แต่หากโฟกัสที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การรับมือกับความผันผวนและปัจจัยลบมากมาย “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” มองเห็นการวางกรอบการทำงานและการเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ชัดเจน ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” นโยบายเรือธงด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมี “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อดีตข้าราชการระดับสูงอายุงาน 32 ปี จากกระทรวงการคลัง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและ รมว.คลัง เป็นหัวจักรขับเคลื่อน

ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก 30 ก.ย.2568 วันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลอนุทินจัดสรรงบที่เหลือ 62,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานใน 2 ส่วน ได้แก่ นโยบายคนละครึ่ง และชำระหนี้รัฐบาลมูลค่า 35,000 ล้านบาทคืนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศเอาไว้

จากนั้นรัฐบาลได้เดินแผนดึงเศรษฐกิจไทยให้พ้นจาก “หล่ม” ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย 5 เสาหลัก ภายใต้ระยะเวลาอันแสนสั้น โดยเฉพาะเมื่อการยุบสภาเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดเดิมที่วางไว้ภายใน 31 ม.ค.2569

จนถึงวันนี้ (15 ธ.ค.2568) รัฐบาลได้ลงเสาเอกเสร็จสิ้นไปแล้ว 4 เสา หวังสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป เหลือเพียงเสาสุดท้าย เสาแห่งการ “ออมเงิน” เพื่ออนาคต ที่ได้ริเริ่มนโยบายบัญชีการออมและการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account : TISA) สร้างระบบลดหย่อนภาษีใหม่อย่างเท่าเทียมสูงสุด 800,000 บาทต่อปี อยู่ระหว่างรอเสนอที่ประชุม ครม. แต่เนื่องจากต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา นโยบายนี้จึงน่าจะถูกพับไปก่อน

แต่ 4 เสาหลัก (+1) ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการมาตลอด 2 เดือนครึ่ง ได้ถูกลงหลักปักฐานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอลุ้นแค่ผลสัมฤทธิ์ในระยะต่อจากนี้ จะเป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรือไม่

เสาที่ 1 คิกออฟ “คนละครึ่งพลัส”

รัฐบาลอนุทินเลือกหยิบยกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามาต่อยอด เดินหน้าได้ทันทีเพราะคนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับระบบอยู่แล้ว “คนละครึ่งพลัส” เฟสแรก มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ได้ผลรวดเร็ว เริ่มใช้จ่ายมาตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.2568 สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท (จนถึง 12 ธ.ค.2568) และจากกระแสตอบรับที่ดี ทำให้รัฐบาลตัดสินใจออกมาตรการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งในที่สุดถูกยกเลิกไปหลังตัดสินใจยุบสภา

ปัจจุบันมีคนใช้ “คนละครึ่งพลัส” กว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ คนยื่นแบบภาษี ได้รับเงิน 2,400 บาท ส่วนผู้ที่ไม่อยู่ในระบบภาษี ได้รับเงิน 2,000 บาท เป็นการให้รางวัลคนที่อยู่ในระบบ หวังจูงใจให้คนไทยเข้าสู่ระบบภาษีในอนาคต จากปัจจุบันคนไทยอยู่ในระบบภาษีเพียง 12 ล้านคน จาก 76 ล้านคน

แถมด้วยมาตรการพัฒนาความรู้เพิ่มทักษะ (Upskill) และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ให้พ่อค้าแม่ขายที่เข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” เรียนรู้การใช้ระบบดิจิทัลทำบัญชีการค้าขายออนไลน์จากการสนับสนุนของธนาคารออมสิน เมื่อผ่านการฝึกอบรมครบถ้วนจะได้รับเงินสนับสนุน 2,000 บาท โดยข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้นด้วย

นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “เที่ยวดี มีคืน” ได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวรอง ขณะเดียวกันยังจูงใจให้โรงแรมที่พักปรับปรุงสถานที่ให้ดีขึ้น ผ่านกลไกภาษีที่ได้รับลดหย่อน 2 เท่า พร้อมสนับสนุนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ จัดงบดูงาน ประชุมสัมมนาตั้งแต่ต้นปี 2569 จากปกติมักจัดช่วงปลายปี เพื่อสร้างความคึกคักในพื้นที่ต่างๆทั่วไทย

เมื่อรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดี มีคืน เชื่อว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 100,000 ล้านบาท ผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โต 0.23% และคาดหวังว่าจีดีพีปี 2568 จะเติบโตตามเป้าหมาย 2%

เสาที่ 2 แก้หนี้ภาคประชาชนครั้งใหญ่

ปัญหาหนี้ภาคประชาชนหรือหนี้ครัวเรือนคือปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้างของประเทศ โดยหนี้ครัวเรือนอยู่ในสัดส่วน 87% ของจีดีพี เฉลี่ยแต่ละครัวเรือนมีหนี้จำนวน 740,596 บาท สูงสุดในรอบ 4 ปี

รัฐบาลจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วย เริ่มจากกลุ่มเปราะบางที่เป็นหนี้เสียก่อนมูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อราย มีอยู่ราว 3.4 ล้านราย 4.76 ล้านบัญชี (บางคนมีบัญชีหลายธนาคาร) มูลหนี้รวม 122,000 ล้านบาท จะเปิดให้ลงทะเบียน “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ตั้งแต่เดือน ม.ค.2569

เบื้องต้นจะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ 2.36 ล้านบัญชี มูลหนี้ 62,400 ล้านบาท เพราะลูกหนี้กลุ่มนี้พร้อมจะปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินและสร้างวินัยการเงินของตัวเองใหม่ เพื่อสร้างเครดิตการยื่นกู้ยืมในอนาคต

โดยจะใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งให้ลดการนำส่งเงินจาก 0.46% เหลือ 0.23% และใช้เงินส่วนลดไปช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง

และใช้กลไกบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีอยู่ ทั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) และบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ (Ari-AMC) เข้าไปบริหารจัดการหนี้เสีย โดยลูกหนี้ต้องเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ลดต้น ลดดอก ผ่อนชำระตามศักยภาพ เพื่อ “รีเซตหนี้” สร้างเครดิตใหม่ หากยังต้องการกู้เงินในอนาคต

เสาที่ 3 ต่อลมหายใจ “เอสเอ็มอี”

การเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นอีกกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาด ค้าขายไม่ได้ ขาดสภาพคล่อง ทำให้กู้เงินเพื่อชำระหนี้ไม่ได้

รัฐบาลจึงออกมาตรการช่วยธุรกิจของคนตัวเล็ก ผ่านกลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี

ตลอดจนโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี ดีแบงก์) รวมวงเงินกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน

นอกจากนี้ยังใช้มาตรการภาษีเข้ามาช่วยจูงใจ ผ่านโครงการ “พี่ช่วยน้อง” สนับสนุนให้บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ให้ปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย โดยบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ “พี่ช่วยน้อง” จะได้รับลดหย่อนภาษี 2 เท่า

และยังมอบหมายให้กรมสรรพากรเร่งกระบวนการคืนภาษีให้รวดเร็ว เพื่อให้สามารถนำเงินไปเสริมสภาพคล่อง คาดว่าภายในปี 2568 จะช่วยเอสเอ็มอีได้คืนเงินภาษีเร็วขึ้น 20,000 ราย

ขณะที่กรมศุลกากรได้ออกประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าตั้งแต่ 1 บาท เป็นต้นไป เพื่อสกัดสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไหลบ่าเข้ามาทุ่มตลาดสินค้าเอสเอ็มอีไทย มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.2569 เชื่อว่ามาตรการภาษีนี้จะทำให้สินค้าเอสเอ็มอีไทยจำหน่ายได้มากขึ้น

เสาที่ 4 หนุน “ออมเงิน” เพื่ออนาคต

เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนเกินกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ขณะที่การออมของคนไทยลดลงต่อเนื่อง เพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย

เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการออมทั้งระบบ จูงใจให้ประชาชนทุกคนต้องออม รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบาย “สลาก กอช.” ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม เบิกได้เมื่อครบกำหนดหลังเข้าสู่วัยเกษียณ เชื่อว่าถูกจริตคนไทยที่ชอบเสี่ยงโชคแต่เงินไม่หาย เริ่มจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2569 ออกรางวัลทุกวันศุกร์

พ่วงด้วยโครงการ “ออมพลัส” เพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถซื้อพันธบัตรรัฐบาลในราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ 1,000 บาท ซื้อได้ทุกเดือน เพื่อสร้างนิสัยการออมอย่างสม่ำเสมอ

และโครงการบัญชีการออมและการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account : TISA) ส่งเสริมการออมผ่านตลาดทุน นำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 800,000 บาทต่อปีเท่าเทียมกันทุกคน คาดว่าจะจูงใจมนุษย์เงินเดือนเปิดบัญชี TISA เพื่อการออมและลดหย่อนภาษีได้ไม่น้อยกว่า 11–12 ล้านคน

โดยโครงการ TISA เป็นการปรับปรุงการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนที่มีอยู่เดิม ผ่านกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุน จึงถือเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังยกเว้นภาษีเงินปันผลดอกเบี้ย โดยเงินลงทุน 200,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากถือครองสินทรัพย์ในบัญชี TISA เป็นเวลา 5 ปี อีกทั้งยังยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับธุรกิจประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงประกันภัยขั้นพื้นฐานได้, การส่งเสริมให้มีประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ

เสาที่ 5 หมดยุคกิน “บุญเก่า” ลุยลงทุนใหม่

การลงทุนเพื่ออนาคตคือการวางรากฐานโครงสร้างของประเทศไทยใหม่ หลังจากที่ประเทศไทย “กินบุญเก่า” จากการลงทุนในอดีต ใกล้หมดเต็มที

เพื่อสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว การลงทุนในทรัพยากรบุคคล หรือ “คน” เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการเตรียมความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เกษตรกรรมสมัยใหม่ การแปรรูปอาหาร สมาร์ทอิเล็ก ทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ อุตสาหกรรม การแพทย์ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

รัฐบาลจึงมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จับคู่ความต้องการ แรงงานระหว่างบริษัทกับมหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตรระยะสั้นตอบโจทย์ความ ต้องการของอุตสาหกรรมแบบตรงเป้าหมาย คล้ายคลึงสถาบันไทย-เยอรมัน หรือไทย-ญี่ปุ่นในอดีต โดยปัจจุบันการเรียนเสริมความรู้ เพิ่มทักษะทำได้จากทุกที่ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียนหรือเรียนผ่านมหาวิทยาลัยเท่านั้น

รัฐบาลยังได้ไฟเขียวเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถที่มีอยู่ราว 10,000 ล้านบาท มุ่งยกระดับทักษะแรงงานไทยให้ตรงกับความ ต้องการให้มากที่สุด

อีกด้านคือการปลดล็อกหลักเกณฑ์การลงทุนต่างๆ ภายใต้โครงการ “Thailand Fast Pass” หยิบโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้ว มาสะสางปัญหาที่ติดขัด ให้เดินหน้าลงทุนได้ทันที

เบื้องต้นตรวจสอบพบมีโครงการที่ได้รับบีโอไอแล้ว 60 โครงการ มูลค่าลงทุน 120,000 ล้านบาท แต่ยัง ติดเงื่อนไข ทำให้ลงทุนต่อไม่ได้ หากสามารถเร่งเคลียร์ข้อติดขัด เชื่อว่าจะช่วยสร้างงาน สร้างเงินได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ได้รับอนุมัติจากบีโอไอแล้ว 4 โครงการ มูลค่าการลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาท ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่ติดปัญหาเรื่องระบบพลังงาน ซึ่งล่าสุดกระทรวงพลังงานเดินหน้าแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว

การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศ ถือเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถขยายขอบเขตการลงทุนไปได้อีกหลายประเภท ทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค และศูนย์กลางนวัตกรรมทางการเงินของภูมิภาคมากขึ้น ส่วนรูปแบบการลงทุนจะเน้นให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน ขณะที่รัฐจะอำนวยความสะดวก ขจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค โดยพร้อม “กิโยตินกฎระเบียบ” เดินการลงทุนเพื่ออนาคตแบบเต็มพิกัด.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ