
คสธก. กำหนดแนวทางแก้ปัญหาเชิงรุก ป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐานและธุรกิจนอมินีต่างชาติ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคสธก. ครั้งที่ 1/68 ร่วมกับ 21 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า การแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และการป้องปรามธุรกิจต่างชาติที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี หรือตัวแทนอำพราง เพื่อให้ต่างชาติทำธุรกิจในไทยโดยเลี่ยงปฏิบัติตามกฎหมายไทยนั้น เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทั้งด้านข้อมูล การบังคับใช้กฎหมาย และการปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันต่อสถานการณ์ ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้กำหนดแนวทางแก้ปัญหาเชิงรุก เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า ปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย ให้มีประสิทธิภาพ เห็นผลเป็นรูปธรรม ครบถ้วนในทุกมิติ
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินการ ได้แก่ 1.จัดทำ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการบริหารจัดการปัญหาสินค้าจากต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศ พ.ศ. .... เพื่อให้การกำหนดนโยบายและมาตรการในการบริหารจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจากต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศ มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานร่วม และคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธานร่วม เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและบูรณาการการทำงานแบบเชิงรุก
และ3.สนับสนุนการตรวจสอบเส้นทางการเงินธุรกิจกลุ่มเสี่ยงนอมินี โดยบูรณาการข้อมูลร่วมระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตลอดจนพัฒนากลไกตรวจสอบผู้ถือหุ้น–เงินทุน–พฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันต่างชาติใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง
“การคุมเข้มนี้ ไม่ใช่เพียงแค่บังคับใช้กฎหมาย แต่คือการฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศ ปกป้องคนไทยและผู้ประกอบการไทยไม่ให้เสียเปรียบ ปิดช่องโหว่ที่ต่างชาติเข้ามาใช้ประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจไทยโดยไม่เป็นธรรม ทุกหน่วยงานต้องเร่งรัดดำเนินมาตรการ เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัยผู้บริโภค ความเป็นธรรมทางการค้า และเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว”
ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้านำเข้าแล้ว โดยกรมศุลกากรได้เพิ่มการเปิดตู้คอนเทนเนอร์สินค้าจาก 20% เป็น 30% และ X-ray แบบ 100% บริเวณด่านเสี่ยงสูง ที่จ.นครพนม และมุกดาหาร และดำเนินคดีผู้กระทำผิดกว่า 86,087 คดี นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 เป็นต้นไป จะเก็บอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าที่สั่งซื้อผ่านออนไลน์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ที่แข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูก และป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
ส่วนการปราบปรามนอมินี ได้ดำเนินคดีผู้กระทำความผิด 873 ราย และส่งให้ปปง.ตรวจเส้นทางการเงินธุรกิจกลุ่มเสี่ยงนอมินี รวมทั้งส่งให้ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดี ขณะที่การกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ออกประกาศให้แพลตฟอร์มต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ขาย ข้อมูลสินค้า และจัดทำระบบ notice & takedown (การแจ้งเตือนให้แพลตฟอร์มถอดสินค้าผิดกฎหมายออกจากแพลตฟอร์มทันที) มีผลวันที่ 31 ธ.ค. อีกทั้งยังตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการสวมสิทธิประเทศไทยส่งออกไปประเทศที่สาม