
“ศุภจี” ประเมินส่งออกปีหน้า กรณีเลวร้ายติดลบ 3.1% กรณีดีสุดโต 1.1% แต่โอกาสติดลบ 1% เป็นไปได้มากสุด ม.หอการค้าไทย มองแรงคาดส่อติดลบ 10% ถ้าไทยเจรจากฎถิ่นกำเนิดสินค้าไม่สำเร็จ และสินค้าสวมสิทธิถูกเก็บภาษี 40% เหมือนเวียดนาม “พาณิชย์”ลงพื้นที่จี้ผู้ประกอบการรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้า
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินการส่งออกปี 69 ว่าจะขยายตัวลดลง เมื่อเทียบกับปี 68 เนื่องจากปี 68 ไทยได้เร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯค่อนข้างมาก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ทำให้ฐานการส่งออกในปี 68 ขยายตัวเกินไปเป้าหมายไปมาก โดยคาดว่าทั้งปีจะมีมูลค่า 332,982-334,982 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวสูงถึง 10.7-11.4% จากเป้าหมายที่คาดขยายตัว 2-3%
“จากฐานการส่งออกปี 68 ที่ขยายตัวสูง ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว มีค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นแรงกดดัน และราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลง จึงได้ประมาณการเป้าหมายการส่งออกไทยปี 69 อยู่ทติดลบ 1% เมื่อเทียบกับปี 68 ซึ่งสอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)”
อย่างไรก็ตาม กระทรวงได้ประเมินการส่งออกปี 69 ไว้เป็น 3 กรณี โดยกรณีแรก หรือกรณีฐาน การส่งออกมีโอกาสติดลบ 1.0% มูลค่ารวม 330,642 ล้านเหรียญฯ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลง สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวค่อนข้างต่ำ รวมถึง ปัจจัยราคาและค่าเงินบาทแข็งค่า อีกทั้งราคน้ำมันดิบโลกที่ปรับลดลง จะส่งผลต่อมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน รวมทั้ง การส่งออกปี 68 ขยายตัวสูงมาก จากการเร่งนําเข้าของคู่ค้า เพื่อเลี่ยงกําแพงภาษี และคาดว่า สต๊อกยังคงมีอยู่มาก ทำให้คำสั่งซื้อปี 69 ลดลง
สำหรับกรณีแย่ที่สุด มีโอกาสติดลบ 3.1% มูลค่า 323,628 ล้านเหรียญฯ เพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า และกําแพงภาษีสหรัฐฯรุนแรง และขยายวงกว้างกว่าที่คาดการณ์ จนกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว ประกอบกับ การชะลอตัวอย่างมากของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสําคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯและจีน รวมถึงแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ราคาสินค้าโภคกัณฑ์ปรับตัวลดลง จนกดดันมูลค่าการส่งออกรวมของไทย ส่วนกรณีดีที่สุด การส่งออกสามารถขยายตัวได้ 1.1% มูลค่า 337,655 ล้านเหรียญฯ หากเศรษฐกิจคู่ค้าสําคัญ เช่น สหรัฐฯ จีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุน ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด และมาตรการการค้าสหรัฐฯ ไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างมีนัยสําคัญ
ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ในเดือนธ.ค.68 ประเมินว่า การส่งออกสินค้าไทยในปี 69 อาจพลิกกลับมาติดลบได้สูงถึง 10% เมื่อเทียบกับปี 68 เพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯตลอดทั้งปี และผลกระทบของมาตรการตอบโต้สินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ที่ไทยอาจถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสูงถึง 40% เช่นเดียวกับเวียดนาม หากไทยเจรจาถิ่นกำเนิดสินค้าไม่สำเร็จ จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียด
“ถ้าไทยเจรจากฎถิ่นกำเนิดสินค้าไม่สำเร็จ หลังจากที่สหรัฐฯเสนอให้เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบ และส่วนประกอบในไทย และจากพันธมิตร เช่น อาเซียน เป็น 50-60% จากปัจจุบันที่ไทยใช้ 40% เพื่อสกัดการใช้วัตถุดิบจากจีนนั้น ในส่วนของสินค้าที่ไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ตามที่สหรัฐฯเสนอได้ อาจถูกเก็บภาษีเพิ่มเป็น 40% ก็อาจทำให้สินค้าเหล่านี้สูญเสียศักยภาพการแข่งขัน และอาจทำให้การส่งออกลดลงได้ และกระทบต่อการส่งออกภาพรวม”
ขณะที่นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดระยอง ลงพื้นที่ตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเฝ้าระวังส่งออกไปสหรัฐฯ ณ สถานประกอบการของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นขั้นตอนในการพิจารณาคำขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า ให้มีความรอบคอบ รัดกุมเพื่อยืนยันว่า สินค้าที่ผลิตและส่งออกจากไทย มีโรงงานผลิตจริง ป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าไทย
“สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างมาก ผู้ส่งออกจะต้องตระหนักรู้ถึงกฎ ระเบียบ และมาตรการต่างๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างสูงสุด กรมยังเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการไทยใช้สัดส่วนการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบในประเทศ (Local Content) ให้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับกฎถิ่นกำเนิดใหม่ของสหรัฐฯ ที่อาจมีใช้มูลค่าของวัตถุดิบในประเทศ แทนการใช้กฎแปรสภาพอย่างเพียงพอ”