ไฟเขียวบอร์ด EV ปรับมาตรการ EV3–EV3.5 มาสด้าชูไทยฐานผลิตรถ MHEV

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ไฟเขียวบอร์ด EV ปรับมาตรการ EV3–EV3.5 มาสด้าชูไทยฐานผลิตรถ MHEV

Date Time: 10 ธ.ค. 2568 08:45 น.

Summary

ครม.ไฟเขียว บอร์ด EV เห็นชอบปรับมาตรการ EV3–EV3.5 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิตรถไฟฟ้าโลก ด้าน “มาสด้า” ปักหมุดไทยฐานผลิตรถ MHEV ลงทุนเพิ่ม 5,000 ล้านบาท

Latest

อีซูซุไทยส่งออกครบ 3 ล้านคัน ย้ำคุณภาพโลกสมศักดิ์ศรี “โปรดักแชมเปี้ยน”

นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV3 และ EV3.5) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมป้องกันความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกินและสงครามราคาในประเทศ ตามมติการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568

ทั้งนี้ สาระสำคัญของมติ ประกอบด้วย 1.) การขยายเวลาการจดทะเบียนรถ EV ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ มาตรการ EV3 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2569 และมาตรการ EV3.5 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2571

2.) ปรับวิธีนับการผลิตชดเชยเพื่อการส่งออก ได้แก่ การผลิตรถ EV ที่ส่งออก นับเป็นการผลิตชดเชยได้ 1.5 เท่า และการผ่อนผันระยะเวลาการส่งออกถึงวันที่ 30 มิถุนายนของปีถัดไป

3.) คุมเข้มการจ่ายเงินอุดหนุน ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์ติดตามแผนการผลิตชดเชยอย่างใกล้ชิด และการระงับการจ่ายเงินอุดหนุนชั่วคราว หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข เพื่อความรอบคอบด้านงบประมาณ

4.) เปิดทางขยายการผลิตข้ามมาตรการ โดยผู้ได้รับสิทธิ EV3 สามารถขยายการผลิตชดเชยไปภายใต้มาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อรักษาฐานการผลิตในประเทศ

และ 5.) ขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ โดยผ่อนผันถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 และปรับลดสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของราคารถ เพื่อเร่งการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า คณะกรรมการยังย้ำเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยในการเป็น ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Zero Emission Vehicle (ZEV) ภายในปี 2573 อย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพตลาดในประเทศ

ด้าน นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยหลังจากคณะผู้บริหารบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น นำโดยนายมาซาฮิโระ โมโระ ประธานและผู้บริหารสูงสุด เข้าพบนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เพื่อนำเสนอแผนการลงทุนในประเทศไทย หลังจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยกำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่เป็นเวลา 7 ปี (ปี 2569 – 2575) 

“ทำให้มาสด้า ตัดสินใจลงทุนเพิ่ม 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มลงทุนต้นปีหน้า เพื่อเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางปี 2570”

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กลุ่มมาสด้ามีบริษัทในประเทศไทย 4 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจด้านการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การจำหน่าย และการตลาดระดับภูมิภาค โดยได้จัดตั้งบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) ร่วมกับฟอร์ด เพื่อเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญของภูมิภาค ทั้งรถกระบะและรถยนต์นั่ง ที่ผ่านมามีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 4 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งบริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (MPMT) เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของเครื่องยนต์เทคโนโลยี SKYACTIV และเกียร์ในภูมิภาค มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ เงินลงทุน 12,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ในประเทศไทย เป็นการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น B-SUV กำลังการผลิต 100,000 คันต่อปี โดย 60% เป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน เนื่องจากบริษัทและลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย

“มาสด้า ยังมีเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) 70% อีกด้วย โครงการนี้นับเป็นก้าวแรกของบริษัท ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่ก้าวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ต่อไปในอนาคต”

สำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV บอร์ดอีวีได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ 10% (กรณีปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km) และ 12% (กรณีปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 – 120 g/km) โดยจะเป็นอัตราคงที่ในเวลา 7 ปี (ปี 2569 – 2575) พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปีหน้า และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 และต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ              

“บอร์ดอีวี มีเป้าหมายชัดเจนในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์จากยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ (xEV) ทั้ง BEV, PHEV, HEV และ MHEV เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท การประกาศลงทุนครั้งใหญ่ของมาสด้า เพื่อใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปประเทศต่างๆ รวมถึงส่งกลับไปที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นอีกหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ตอกย้ำว่าประเทศไทยเดินมาถูกทาง และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนและผู้บริโภคมีต่อประเทศไทยว่าสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับโลก”


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ