
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงผลกระทบของอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้จะกระทบกับเศรษฐกิจตามการประเมินของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ที่ 0.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทั้งหมด โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เทียบกับจีดีพีทั้งประเทศ 20 ล้านล้านบาทนั้นไม่ได้ใหญ่มาก โดยจีดีพีไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 0.6% หรือสูงกว่า แต่กระทบกับชีวิตประชาชนมาก โดยมาตรการต่างๆ ที่ลงไปพยายามทำให้เศรษฐกิจฟื้นมาโดยเร็วที่สุด ส่วนหลังจากนี้ต้องมีการถอดบทเรียนเพื่อวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมจากกระทรวงพาณิชย์ว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้มีการประเมินน้ำท่วม 10 จังหวัดภาคใต้ ว่า แม้บรรเทาลงแล้ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์ และการค้าชายแดนไทย-มาเลเซียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ทำให้การขนส่งสินค้าทางถนนผ่านด่านศุลกากรไปมาเลเซีย แทบหยุดชะงัก โดยเฉพาะด่านศุลกากรสะเดา ที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด เฉลี่ย 311.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือน หรือ 10,947 ล้านบาท สัดส่วน 76.30% ของการส่งออกชายแดนของไทย และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ที่มูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 2 เฉลี่ย 90 ล้านเหรียญฯต่อเดือน หรือ 3,162 ล้านบาท โดยหากยังไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผ่านทั้ง 2 ด่านรวมกันสูงถึง 400 ล้านเหรียญฯต่อเดือน หรือราว 14,100 ล้านบาท
สินค้าที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบรถยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า ที่ส่งไปโรงงานในมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้หาเส้นทางอื่นได้ แต่ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น 30-40% และใช้เวลานานกว่าปกติ 2-3 เท่า ทำให้บางออเดอร์ อาจต้องยอมยกเลิก นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าเกษตร อย่างน้ำยางข้น หรือไก่สดแช่แข็ง ที่เน่าเสียง่าย มีความเสี่ยงที่จะเสียหายสูงสุด หากรถติดค้างเป็นเวลานาน ผู้ส่งออกต้องแบกรับความเสียหายโดยตรง และหากปัญหานี้เกิดซ้ำบ่อยครั้ง อาจทำให้โรงงานย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย อีกทั้งอาจใช้โอกาสนี้แย่งส่วนแบ่งตลาด ลูกค้าต่างชาติที่ไม่ได้รับสินค้าตรงเวลาจากไทย และอาจหันไปหาซัปพลายเออร์ใหม่ได้