
ส.อ.ท. ห่วงเศรษฐกิจไทยอาจถดถอยหากไม่เร่งฟื้นตัวในไตรมาสแรกของปีหน้า
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดอีกครั้ง นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤติโควิดปี 2563 จากแรงกดดันสารพัดปัจจัยลบ
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากรัฐบาลและภาคเอกชนยังไม่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ทันการในไตรมาสแรกของปีหน้า เศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศไทยจะถดถอย การจ้างงานจะยิ่งได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง อัตราการว่างงานจะมากขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหากำลังซื้อในประเทศให้ยิ่งทรุดตัวแย่ลงไปอีก
รองประธาน ส.อ.ท.ระบุว่า ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดเมื่อเทียบกับนานาประเทศ คือผลดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index : CPI) ล่าสุด สำรวจโดยองค์กรเพื่อ
ความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) จากคะแนนเต็ม 100 ประเทศไทยได้เพียง 34 คะแนนเท่านั้น ตกต่ำแย่กว่าสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย อย่างน่าเป็นห่วง ช่องว่างคะแนนที่ถ่างออกคือสัญญาณชัดเจนว่าปัญหาคอร์รัปชัน โดยเฉพาะต้นน้ำในระดับผู้มีอำนาจทางการเมืองได้บั่นทอนความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย
ส.อ.ท.จึงได้ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption กกร. และเพื่อน ไม่ทน” เพราะประเทศไทยไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นใดๆได้ หากยังมีนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการสีเทา สมคบคิดแสวงหาผลประโยชน์และทำลายการบังคับใช้กฎหมาย
นายนาวากล่าวว่า ตนยังได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะทำงาน Zero Corruption ของ กกร. และพันธมิตร โดยจะยึดหลักการ “ส่งเสริมคนดี ราวีคนเลว” ซึ่งหมายถึง การยกย่องผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ และเปิดโปงผลักดันให้มีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อผู้ทุจริตบ่อนทำลายระบบ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งระดับใดก็ตาม
กรณีตัวอย่างที่คณะทำงานจะติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ช่องโหว่การปล่อยสินค้าทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศไทย ซึ่งไม่ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รวมถึงการเลี่ยงภาษีอากร ที่สร้างความเสียหายทั้งต่อความปลอดภัยสาธารณะ รายได้ประเทศชาติ และเอาเปรียบผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย
ในระยะเวลาที่ผ่านมา ส.อ.ท.มีโอกาสได้นำเสนอแนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติต่อรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล และคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับข้อเสนอจากภาคเอกชนแล้วนำไปลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังจนเริ่มเกิด Quick Big Win หลายประการแล้ว อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ยังคงมีความกังวลอย่างยิ่งกับบางกระทรวงที่ยังไม่มีผลงานชัดเจน และมีข้อสงสัยจากสาธารณชนว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนสีเทาที่อาจบิดเบือนการใช้อำนาจรัฐ เพราะหากยังปล่อยให้กลไกรัฐบางส่วนถูกชักใยโดยกลุ่มทุนสีเทา ประเทศไทยย่อมพ่ายแพ้ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วนี้
ทั้งนี้ จากการที่แนวโน้มปี 2569 มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของประเทศไทยที่เคยเป็นและที่ควรจะเป็น เทียบกับสิงคโปร์ มาเลเซีย ที่ยังมีความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง รวมถึงเวียดนามและอินโดนีเซียที่ยังรักษาอัตราการเติบโตสูง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปเชิงระบบ มิฉะนั้น ช่องว่างการแข่งขันจะยิ่งขยายตัวจนยากจะไล่ทันในระยะยาว
ในด้านการบริหารองค์กร ส.อ.ท. ซึ่งเดินหน้าภายใต้แนวทาง “One FTI” อย่างเข้มแข็งในระยะเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันยังได้ผลักดันภารกิจเร่งด่วนที่ประเทศต้องทำทันที ได้แก่ 1.ปราบปรามคอร์รัปชันทุกระดับ 2.ปฏิรูปกฎหมายและระบบบังคับใช้ให้เข้มงวด 3.พัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย 4.สร้างสภาพแวดล้อมธุรกิจที่โปร่งใสแข่งขันได้ และดึงดูดการลงทุนระยะยาว และ 5.ผลักดันนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์และ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม
ส.อ.ท.ต้องการความต่อเนื่องของนโยบาย และผู้นำที่มีประสบการณ์อุทิศตนทำงานเพื่อ ส.อ.ท. ยาวนานหลายสมัยเข้าใจปัญหาอุตสาหกรรมจริง ผ่านการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัด และกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆมานับครั้งไม่ถ้วน ในยามที่หลายอุตสาหกรรมเผชิญแรงกดดันหนักที่สุดในรอบหลายปี เพื่อพร้อมทำงานได้ทันทีตั้งแต่วันแรก ให้ ส.อ.ท.เดินหน้าภารกิจต่อได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง เป็นเอกภาพ และเสียงของ ส.อ.ท.มีพลังต่อไป โดยเป้าหมายต่อเนื่องของ ส.อ.ท. คือ การยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมของประเทศไทยทั้งระบบ ควบคู่กับการดูแล SMEs ให้อยู่รอด ยืนและเติบโตได้ในยุคการแข่งขันรุนแรง ทุกการตัดสินใจต้องตั้งอยู่บนหลักประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชน และอุตสาหกรรมส่วนรวมเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมา และประเทศไทยยืนได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก
“ส.อ.ท.เชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพมหาศาล พร้อมฟื้นตัวและก้าวพ้นหล่มที่ตกยืดเยื้อมานาน หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง”.
เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม