
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว. คลัง เปิดเผยในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 8 Money Expo 2025 Bangkok Year-End ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า แผนการคลังระยะปานกลางปี 2569-2573 ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ได้มีการระบุถึงแผนการเพิ่มศักยภาพการคลัง เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยหนึ่งในนั้น เป็นการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่สัดส่วน 7% ซึ่งการปรับขึ้น VAT ถูกกำหนดไว้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปี 2571 จะปรับขึ้น VAT เป็น 8.5% และ 10% ในปี 2573 ภายใต้เงื่อนไขว่าช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจไทยจะต้องกลับมาโตเต็มศักยภาพแล้ว
“หากเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับมาเติบโตตามศักยภาพพอที่จะปรับขึ้น VAT รัฐก็ได้เตรียมแผนอื่นๆ ชดเชย เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่ายภาครัฐ โดยส่วนนี้ระบุชัดเจนในแผนการคลังระยะปานกลาง”
นายเอกนิติ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ถือว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะปรับขึ้นภาษี ทั้งนี้ในปีนี้และปีหน้า และหากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเพียงพอในปี 2571 รัฐบาลก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่าย โดยครม. ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ จัดทำแผนการลดรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายซ้ำซ้อน เช่น รายจ่ายซ้ำซ้อนจากการให้สวัสดิการ ซึ่งมีหลายแห่ง อาจจะต้องนำมารวมศูนย์กัน เพื่อจ่ายแห่งเดียว ขณะที่งบลงทุน อาจจะไปใช้ช่องทางอื่นแทนการใช้งบประมาณปกติเท่านั้น แต่จะใช้ผ่านช่องทาง ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่นี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแสดงความมุ่งมั่นในการลดการขาดดุลการคลัง โดยปัจจุบันการขาดดุลอยู่ที่ 4.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปรับลดลงให้ต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 และในแผนการคลังระยะปานกลาง ประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งการปฏิรูปภาษี การลดรายจ่าย การใช้เงินกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเน้นการลงทุน และวินัยการคลัง ซึ่งการสร้างความเชื่อมั่นต่อฐานะทางการคลังของประเทศยังคงเป็นสิ่งสำคัญ โดยล่าสุด การที่บริษัทเครดิตเรทติ้ง S&P ไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไทย เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นในส่วนนี้ด้วย
ในวันเดียวกัน นายเอกนิติ ยังได้ไปกล่าวปาฐกถาพิเศษ “Thailand 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อฟื้นเศรษฐกิจให้พ้นจากหล่มเสร็จแล้ว ซึ่งจะทยอยนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ จากก่อนหน้านี้ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน เติมเงินให้ผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการ การเร่งรัดเบิกจ่าย เป็นต้น
“สิ่งแรกที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารงาน คือ ยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจมีปัญหาจริง รัฐ จึงได้ออกมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และทยอยทำแล้ว ขณะเดียวกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องปรับมุมมองใหม่ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดวิธีการ แล้วออกแบบมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไปต่อได้”
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า จะเสนอครม.เศรษฐกิจ ให้ปลดล็อคกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนจริง จากผู้ประกอบการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้ว วงเงิน 300,000 ล้านบาท จาก 60 โครงการ และสัปดาห์ถัดไปจะเสนอแพคเกจช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทั้งเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 10,000 ล้านบาท กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 20,000 ล้านบาท พร้อมหารือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อผ่อนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ ให้สถาบันการเงิน สามารถปล่อยสินเชื่อได้
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ปี69จะต้องเป็นปีแห่งการลงทุนจริง เพื่อให้ประเทศไทยไปต่อ แบบยั่งยืน อันดับแรกต้องลงทุนพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพิ่มทักษะอัพสกีล-รีสกีล ที่ต้องลงทุนปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ เน้นพลังงานสะอาด ระบบออโตเมชั่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อไปสู่การลงทุนศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดาต้าเซ็นเตอร์) กว่า 30 ราย รวมถึงการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย และกองทุนอื่นๆ เพื่อเกิดการลงทุนจริงๆ ในปีหน้า