เศรษฐกิจไทยในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ 3 ผู้บริหารสะท้อนภาพประสบการณ์ตรงในสนาม

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เศรษฐกิจไทยในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ 3 ผู้บริหารสะท้อนภาพประสบการณ์ตรงในสนาม

Date Time: 17 พ.ย. 2568 04:58 น.

Summary

รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังผลในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนยุบสภา แต่ GDP ไตรมาสสุดท้ายปี 2568 คาดโตเพียง 1.3%

  • ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารมองว่า ปี 2568 ยากลำบากกว่าช่วงโควิด เพราะผู้บริโภคไม่มีเงินใช้จ่ายและไม่มั่นใจอนาคต
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง และการขาดดุลการค้ากับจีนเป็นปัจจัยลบสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย
  • ศูนย์การค้าปรับตัวเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์และจุดนัดพบมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่าย
  • วู้ดดี้ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเริ่มจาก ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการที่ดี และการพัฒนาองค์ความรู้ทั้งประเทศ

Latest

จีดีพีเกษตรไทยปี 68 โต 3.3% รับฝนดี–น้ำเพียงพอ-เกษตรกรพร้อมปรับตัว

รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเร่งอัดมาตรการเศรษฐกิจชุดใหญ่ในช่วงบริหารประเทศสั้นๆในช่วงเวลา 4 เดือน หวังเป็นแรงส่งสุดท้ายก่อนการยุบสภา ทั้งมาตรการลดภาระหนี้ อุดหนุนสวัสดิการ และโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ถูกปลุกขึ้นมาเดินเครื่องเต็มกำลังอีกครั้ง หวังพยุงการบริโภคปลายปี กระจายเม็ดเงินลงสู่ฐานรากอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 กลับถูกประเมินให้ขยับตัวเพียง 1.3% สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยอาจกำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบางกว่าที่สังคมอยากเห็น กระนั้น ปัญหาที่แท้จริงไม่เคยอยู่แค่ในตัวเลข หากอยู่ในความรู้สึกของผู้คน ความเชื่อมั่นที่หายไปจากครัวเรือนและภาคธุรกิจหลังเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ ความลังเลที่จะใช้จ่ายของประชาชน และความไม่แน่ใจของผู้ประกอบการที่จะเดินหน้าลงทุนใหม่ในสภาพแวดล้อมที่ต้นทุนสูงและความเสี่ยงรอบด้านยังไม่คลาย

มาตรการกระตุ้นเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพอ หากไม่สามารถจุดประกายความมั่นใจกลับคืนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้จริง

เพื่อมองข้ามตัวเลขและเข้าถึง “อุณหภูมิจริง” ของเศรษฐกิจปีหน้า “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้พูดคุยกับผู้บริหารองค์กรชั้นนำ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ด้านเศรษฐกิจและการตลาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจของปีนี้ (2568) และปีหน้า (2569) จากประสบการณ์ตรงในสนาม ว่าความหวังและมาตรการกระตุ้นต่างๆมีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนทิศเศรษฐกิจไทย หรือเป็นได้แค่ประกายเล็กๆท่ามกลางความไม่แน่นอนที่กำลังห้อมล้อมอยู่ทุกด้าน

“ไทยเบฟ” มองหนักกว่าโควิด “คนไม่กล้าใช้เงิน”

ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิธุรกิจอาหารไทยมายาวนาน กำกับเครือข่ายร้านอาหารใกล้แตะ 900 สาขาทั่วประเทศ สะท้อนภาพปี 2568 อย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับผู้ประกอบการอาหารทุกราย

เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปี 2568 กับช่วงวิกฤติโควิดอย่างน่าคิด ช่วงนั้นผู้คน “มีเงินแต่ไม่มีที่ใช้” หรือใช้จ่ายได้ยาก เพราะมาตรการจำกัดการเดินทาง แต่ปีนี้กลับเป็นอีกแบบ คนจำนวนมาก “ไม่มีเงินจะใช้” หรือแม้จะมีรายได้อยู่บ้างก็ไม่กล้าใช้จ่าย เหตุผลสำคัญคือความไม่มั่นใจต่ออนาคต ทั้งด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และรายได้ที่ไม่แน่นอน

“ความยากจึงไม่ใช่แค่ยอดขายเท่านั้น แต่คือความเชื่อมั่นที่หายไปจากผู้บริโภค”

ปัญหาที่หนักที่สุดของเศรษฐกิจไทยวันนี้คือ “หนี้ครัวเรือน” ซึ่งกระจายทั้งในระบบราว 70% และนอกระบบอีกประมาณ 30% หนี้ในระบบแบ่งเป็นหลายกลุ่มที่สะท้อนปัญหาเชิงพฤติกรรมชัดเจน ตั้งแต่หนี้บัตรเครดิตที่คนจำนวนมากสมัคร

กันง่ายในช่วง 5-6 ปีก่อน ใช้จ่ายเกินตัว ผ่อนขั้นต่ำจน “วงเต็มทุกใบ” ไปจนถึงหนี้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยค่านิยม “ต้องมีรถ” ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีรถหลายคัน ขณะที่หนี้ส่วนบุคคลและเอสเอ็มอี ก็เร่งขยายเพราะผู้คนกู้เสริมสภาพคล่อง แต่รายได้ไม่โตตามต้นทุนดอกเบี้ย ภาระจึงสะสมเร็วกำลังซื้อที่อ่อนลงต่อเนื่อง กระทบต่อผลลัพธ์เชิงธุรกิจชัดเจน หากทำธุรกิจเท่าเดิม ผลลัพธ์จะลดลงทันที ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพ “ทำมากกว่าเดิมเพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม”

การขาดดุลการค้ากับจีนอยู่ในระดับน่ากังวล โดยส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคยุคดิจิทัลที่ทำให้ “เงินไหลออก” เป็นสัดส่วนสูง ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วและที่พักผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ การสมัครบริการสตรีมมิงและดิจิทัลจากบริษัทนอกประเทศ หรือการซื้อสินค้าออนไลน์ที่สินค้าจีนครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่ ผลรวมคือเงินสะพัดภายในประเทศลดลง ขณะที่รายได้ส่วนหนึ่งไหลออกไปต่างประเทศ ทั้งจากค่านำเข้า ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม และยอดขายผู้ประกอบการต่างชาติ

ภาคการผลิตอาหารและโภคภัณฑ์ของไทย ยังพึ่งพาการค้าชายแดนมาก โดยเฉพาะวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา แต่ในอีกฟากหนึ่ง ภาคเกษตรไทยกลับหดตัวลงเพราะ “ทำแล้วไม่คุ้ม” การที่ทุนต่างชาติ

เข้าถือครองกิจกรรมเกษตร เช่น สวนผลไม้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ก่อความกังวลด้านความมั่นคงอาหารและที่ดินในระยะยาว ทำให้ภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานของหลายอุตสาหกรรมไทย อยู่ในภาวะ “เสี่ยงเงียบ” มากกว่าที่ตัวเลขระบุ

ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ฉุดความเชื่อมั่น แม้จะมีมาตรการพยุงระยะสั้น เช่น คนละครึ่งพลัส หรือมาตรการหักลดหย่อนภาษี 30,000 บาท แต่ให้ผลเพียงชั่วคราว โดยมองว่าด้วยการบริหารในเวลาสั้นๆ ยังทำให้ภาคเศรษฐกิจ “ตั้งหลักไม่ทัน” และหากมีการเลือกตั้งใหม่ วัฏจักรความไม่แน่นอนอาจลากยาวอีก 6-8 เดือน

โดยจากนี้ทุกประเทศ รวมถึงไทย ต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล เทคโนโลยี และความยืดหยุ่นของนโยบาย สรุปคือ เศรษฐกิจไทยปี 2569 คาดว่าไม่น่าทรุดหนัก แต่ยังไม่ฟื้นจริง จนกว่าเสถียรภาพทางนโยบายจะกลับคืนมา

“เดอะมอลล์” มองลูกค้ายังอยู่แต่ใช้เงินระวัง

วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำธุรกิจรีเทลที่ประยุกต์ศูนย์การค้าแบบดั้งเดิมให้กลายเป็น “แหล่งการใช้ชีวิต-ไลฟ์สไตล์” ที่ไม่หยุดอยู่แค่การขายสินค้า เชื่อว่าปี 2569 จะเป็น “หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ” ของธุรกิจค้าปลีกไทย แม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มแรง แต่พอมองเห็นความหวัง หากภาครัฐและเอกชนเดินไปด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ปล่อยมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อสำคัญ อย่างคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน และอยากให้สานต่อช็อปดีมีคืน ซึ่งส่งผลโดยตรงกับฐานลูกค้ากลุ่ม B ถึง B+ ของเครือ

ยกตัวอย่างจากพื้นที่จริงในศูนย์ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสทำยอดขายสูงขึ้นกว่าร้านที่ไม่ได้เข้าร่วม ลูกค้าต่อคิวยาวแน่นในทุกกิจกรรม นี่เป็นหลักฐานว่ามาตรการรัฐยังมีพลังมาก และเมื่อผสานกับเครื่องมือฝั่งเอกชน ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์ กิจกรรม หรือโปรโมชัน ก็ยิ่งช่วยกระตุ้นความรู้สึกคุ้มค่าและดึงคนกลับเข้าศูนย์การค้าได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าความหวังนี้ยังมีความเปราะบาง เพราะบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เอื้อให้คนกล้าใช้เงินเต็มที่ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ได้ “ไม่มีเงิน” แต่เพียง “ยังไม่มั่นใจ” จึงเลือกชะลอการใช้จ่ายและรอดูทิศทางก่อน ส่งผลให้การสร้างบรรยากาศเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัจจัยสำคัญพอๆกับตัวมาตรการเอง

ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ วันนี้ผู้คนไม่ได้ตั้งใจมาซื้อของเป็นหลักอีกต่อไป แต่มาใช้เวลา พวกเขาตื่นขึ้นมาด้วยคำถามว่า “จะไปกินข้าวที่ไหนดี จะนัดเพื่อนที่ไหนสะดวก” ไม่ใช่ว่าจะซื้ออะไร ทำให้ศูนย์การค้ากลายเป็นจุดนัดพบของครอบครัวและเพื่อนฝูง ร้านอาหารจึงกลายเป็นแรงดึงดูดสำคัญ

ขณะที่การช็อปปิ้งกลายเป็นผลพลอยได้จากประสบการณ์นั้น เธอเสริมว่า Gourmet Market ยังเป็น “จุดแวะสำคัญ” ก่อนกลับบ้าน สะท้อนว่าศูนย์การค้าถูกใช้ในฐานะพื้นที่ของความสะดวกและไลฟ์สไตล์ มากกว่าพื้นที่ซื้อสินค้าโดยตรง “ในโลกออนไลน์ ลูกค้าตัดสินใจจากราคา แต่ในโลกออฟไลน์ ชนะกันด้วยการบริการและประสบการณ์ ซึ่งเป็นแกนกลางที่ศูนย์การค้าต้องยกระดับให้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ความบันเทิงไม่ใช่แค่โรงภาพยนตร์ ทุกอย่างเป็น Entertainment ได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าเราทำให้มันสนุกพอหรือไม่”

แม้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนจะทรงตัวจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่อัตราการใช้งาน M Card ยังคงเติบโต แสดงว่าลูกค้ายังมาเดินศูนย์ เพียงแต่ระมัดระวังการใช้เงิน

“ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าผู้บริโภคไม่ได้หายไป แต่เปลี่ยนวิธีใช้จ่าย  เปลี่ยนเหตุผลในการมาศูนย์และเปลี่ยนสิ่งที่มองหา”

“วู้ดดี้” มองเปลี่ยนประเทศเริ่มจาก 3 เสา

วู้ดดี้–วุฒิธร มิลินทจินดา อินฟลูเอนเซอร์และนักธุรกิจสื่อบันเทิงรุ่นใหม่ จากทอล์กโชว์ไปจนถึงความสำเร็จของเทศกาลดนตรี S2O Songkran Music Festival ที่ยกระดับสู่เวทีระดับโลก เขามองว่าการเปลี่ยนประเทศต้องเริ่มจาก “3 เสาหลัก”  ได้แก่ 1.ความคิดสร้างสรรค์และความแตกต่าง  (Creativity & Differentiation) ถ้าไม่คิดนอกกรอบ ไม่กล้าแตกต่างจากเดิม จะไม่มีวันก้าวกระโดดเหมือนชาติอื่น เช่น สิงคโปร์ หรือดูไบ ที่เริ่มจากศูนย์ แต่กล้าคิดต่างทั้งประเทศ  2.การบริหารจัดการโดยคนที่เก่งที่สุด (Management by the Best) ต้องมีคนเก่งจริงๆจากหลายด้าน มารวมตัวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเก่ง แต่ไม่ไปด้วยกัน ประเทศไทยยังติดกับดักนี้อยู่มาก ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเดินไปทางไหน 3.การเข้าใจร่วมกันและการพัฒนาองค์ความรู้ทั้งประเทศ (National Mindset & Education Upgrade)

ระบบการศึกษาคือซอฟต์แวร์ของประเทศ ต้องอัปเกรด “ทั้งระบบ” คนไทยต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่จบมหาวิทยาลัยแล้วหยุดเรียนเขาเสริมด้วยว่า ประเทศยังมองข้ามศักยภาพของผู้สูงวัยจำนวนมาก คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังสร้างคุณค่าได้อีกหลายสิบปี แต่กลับถูกผลักออกจากระบบ ทั้งที่พวกเขาคือทุนมนุษย์สำคัญที่ไม่ควรถูกละเลย  “โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของความร่วมมือ“Colla boration” ระหว่างเจเนอเรชัน ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในองค์กรยุคใหม่ หลังจากหลายทศวรรษที่คนแต่ละวัย ตั้งแต่เบบี้บูม, เจนซี และเจนอัลฟ่า เคยแยกกันคิด แยกกันทำ อนาคตจะเป็นยุคของการผสาน “ความเร็วและเทคโนโลยี” ของคนรุ่นใหม่ เข้ากับ “ความละเอียดและประสบการณ์” ของรุ่นเก่า”

องค์กรที่สามารถจับสองพลังนี้มาทำงานร่วมกันได้จริง จะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุด นี่คือสูตรของความมั่งคั่งในอนาคต “ไทยยังมีความหวังไม่ใช่เพราะภาครัฐ แต่เพราะผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่กำลังลุกขึ้นทำเอง ข้ามพรมแดนออกไปสู่โลก เพราะวันนี้คุณสามารถขายของจากหมู่บ้านในไทยไปถึงนิวยอร์กได้ภายในไม่กี่คลิก”

เครื่องมือที่เร่งพลังนี้ให้ชัดขึ้นคือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ได้กลายเป็น “ที่ปรึกษาและเลขานุการระดับโลก” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ “วันนี้ใครอยากมีรายได้ 1 ล้านบาทต่อเดือน ถาม ChatGPT ได้ทันทีว่าต้องเริ่มอย่างไร ยกตัวอย่างทุกวันนี้ วู้ดดี้ใช้แอป Sora สร้างวิดีโออัจฉริยะในการทำแคมเปญธุรกิจ ด้วยคุณภาพใกล้เคียงความจริงจนไม่อาจแยกออก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทุกคนต้องกระโดดเข้าเรียนรู้ AI เหมือนที่คอมพิวเตอร์เคยเปลี่ยนโลกเมื่อ 30 ปีก่อน”

ท้ายที่สุด เมื่อถูกถามว่าไทยต้องการอะไรเพื่อก้าวไปข้างหน้า วู้ดดี้สรุป สั้นๆว่า ต้องการคนเก่งจริง คนที่ไม่ใช่แค่คิดได้ แต่ต้องลงมือทำ คนที่สร้างคุณค่าใหม่ให้สังคม ไม่นั่งรอรัฐ ไม่รอโอกาส แต่สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง และนั่นคือหัวใจของประเทศไทยที่ยังพอมีความหวัง.

ทีมเศรษฐกิจ


คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ