
เปิดวิสัยทัศน์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก คนใหม่ “สรพงศ์” เครื่องแรงเร่งปฎิรูประบบขนส่งสาธารณะทั้งระบบให้ปลอดภัย ปรับเส้นทางรถเมล์ให้เป็น Feeder เชื่อมต่อระบบราง ปิ๊ง! แยกป้ายทะเบียนรถ EV -รถสันดาปออกจากกัน จ่อออกกฎหมายใหม่ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งสาธารณะ พ.ศ..กำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะ คุ้มครองผู้โดยสาร
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) นโยบายสำคัญที่ตนจะดำเนินการคือ เร่งเดินหน้าปฏิรูประบบขนส่งสาธารณะทั้งระบบ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ให้ทันสมัยและมีความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเก่าให้เป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดมลพิษและเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ปรับระบบให้รถเมล์ใหม่เป็นรถ Feeder เชื่อมต่อกับการขนส่งระบบรางที่ปัจจุบันขยายตัวอย่างรวดเร็วเพิ่มจาก 120 กม. เป็น 273 กม. และมีแผนเพิ่มเป็นกว่า 370 กม. ภายในปี 2572 ซึ่งจะทำให้รถเมล์กับรถไฟฟ้าให้บริการที่ไม่ทับซ้อนในเส้นทางเดียวกัน
.ยกระดับรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย
นายสรพงศ์ กล่าวต่อว่า การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารทุกประเภทที่วิ่งให้บริการในปัจจุบัน เป็นอีกประเด็นหลักที่กระทรวงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หลังเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยเฉพาะรถโดยสารสองชั้น ซึ่งหน่วยงานได้กำหนดมาตรการเข้มข้นหลายด้าน ทั้งการทบทวนมาตรฐานทางเทคนิค และพิจารณาเกณฑ์ความปลอดภัยเดิมว่ายังเพียงพอหรือไม่ รวมถึง การศึกษาอุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัยที่จะติดตั้งเพิ่มเติมในรถโดยสาร นอกจากนี้จะให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ทั้งภายในและภายนอกรถโดยสารทุกคัน เพื่อใช้ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุและพฤติกรรมการขับขี่เป็นฐานในการวิเคราะห์ป้องกันเหตุซ้ำ
“นอกเหนือจากการปรับปรุงยานพาหนะและมาตรฐานความปลอดภัย กรมฯ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างงาน โดยเฉพาะการฝึกอบรมและออกใบขับขี่รถขนาดให ที่คนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึง ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนคนขับมืออาชีพ ตนจึงมีนโยบายที่จะเปิดอบรมฟรีและให้ใบขับขี่เมื่อสอบผ่าน เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยากทำงานขับรถแต่ไม่มีโอกาสให้มาอบรมฟรี โดยตั้งเป้าสร้างงานให้ได้ถึง 10,000 ตำแหน่ง ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานที่มีคุณภาพที่จะออกไปสู่ตลาด เพราะมีการอบรมจริงจากกรมการขนส่งทางบก
.ปัดฝุ่น กม.คุ้มครองผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ
ขณะที่นโยบายที่อยากดำเนินการโดยเร็วผ่านกลไกของกรมฯ นายสรพงศ์ ระบุว่า ต้องการเพิ่มกฎหมายที่เข้ามากำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะเป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและคุ้มครองทั้งผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะให้เป็นระบบ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันี่กรมฯมีกฎหมายที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2522 คือ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ และทุกวันนี้ใช้อำนาจของ พ.ร.บ.รถยนต์ ดูแลรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์สาธารณะ รถแท็กซี่ รถโดยสารสาธารณะอยู่ แต่ไม่มีกฎหมายเฉพาะที่จะดูแลรถโดยสารสาธารณะ
“สาเหตุที่มีแนวคิดดำเนินการ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งสาธารณะ เนื่องจากหากมีกฎหมายนี้ สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้โดยสารจะได้รับการคุ้มครองทันที เช่น หากเดินทางด้วยเครื่องบิน หากมีการดีเลย์ ทางสายการบินจะต้องเช้ามาช่วยเหลือ ดูแล ขณะเดียวกันหากเดินทางด้วยรถร่วม บขส. หากดีเลย์ หรือยกเลิก ผู้ประกอบการจะถูกปรับจาก บริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) แต่ขณะนี้ผู้โดยสารที่เดินทางจะไม่มีใครเข้ามาดูแล เนื่องจากไม่มีกฎหมายดูแลโดยตรง เป็นต้น”
.แยกป้ายทะเบียนรถEV-รถสันดาป
นายสรพงศ์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันประชาชนนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV)จำนวนมากและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทำให้ผู้ขับขี่หันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานมากขึ้น ซึ่งจากสถิติพบว่า มีปริมาณยอดการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศกว่า 260,000 คัน ซึ่งจากปริมาณการจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนั้น ตนจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้มีการแยกป้ายทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน (รถยนต์สันดาป) ออกจากกัน คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปี 69 เพื่ออำนวยความสะดวกด้านกำกับ,การกู้ภัย และการจัดการความปลอดภัย กรณีที่เวลามีอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือจะได้แยกการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง เพราะรถที่มีอายุอาจจะมีปัญหาในเรื่องแบตเตอร์รี่ เป็นต้น ซึ่งการแยกป้ายทะเบียน ในต่างประเทศก็มีการแยกมาแล้ว โดยเฉพาะประเทศจีน โดยเฉพาะในเมือง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง
ทั้งนี้ ป้ายทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้านั้น กรมฯมีแนวคิดที่จะใช้หมวดตัวอักษรที่ขึ้นต้นเป็นภาษาอังกฤษ เช่น 1EA–9EZ พร้อมตัวเลข 4 หลัก ซึ่งจะรองรับการขยายตัวของรถ EV ได้มากกว่า 2 ล้านคันในเวลา 20 ปี อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาและต้องผ่านการแก้กฎกระทรวงและพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
.หลักสูตรใบขับขี่ใหม่ “ให้ใจ ให้ทาง ให้ชีวิต”
นายสรพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนมีนโยบายนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาเพื่อรวมแอปพลิเคชั่นบริการราชการด้านยานยนต์ ของกรมการขนส่งทางบกให้ไว้ในแอปพลิเคชั่นเดียวหรือ “One App” จากที่มีกว่า 15 แอปฯ ตั้งแต่การต่อภาษี ทำใบขับขี่ ไปจนถึงการแจ้งเตือนการชำระภาษีล่วงหน้า รวมทั้ง จะแก้ไขกฎหมายให้สามารถชำระภาษีรถยนต์ได้เกินกว่า 1 ปี หรือจ่ายได้ถึง 2–3 ปีพร้อมกัน เพื่อลดภาระการรอต่อคิวและค่าปรับจากการลืมต่อภาษี
ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายที่จะปรับหลักสูตรการสอบใบขับขี่ใหม่ รวมถึงการอบรม เนื่องจากข้อสอบ การอบรม ของรถมอเตอร์ไซค์ และ รถยนต์ ปัจจุบันเป็นหลักสูตรเดียวมาตั้งแต่ปี 2547 จึงมีนโยบายให้แยกหลักสูตร โดยได้ให้ผู้เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกันเพื่อสังคยานาหลักสูตร เพื่อออกมาตรการเป็นรูปธรรมภายใน 2–3 เดือนข้างหน้า รวมทั้ง ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดูว่า กรมฯจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีเครื่องซีมูเลเตอร์ ห้องทดลองในการขับรถ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจริงเมื่อมีการขับรถ และเพื่อให้ทุกคนคำนึงแนวทาง “ให้ใจ ให้ทาง ให้ชีวิต”ซึ่งใช้ในการรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนของกรมฯ อีกด้วย