จ่ายง่ายค้าขายคล่อง “พอใจ” แต่อยากได้เงินเพิ่ม เสียงสะท้อน "คนละครึ่งพลัส" จากคนใช้จริง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จ่ายง่ายค้าขายคล่อง “พอใจ” แต่อยากได้เงินเพิ่ม เสียงสะท้อน "คนละครึ่งพลัส" จากคนใช้จริง

Date Time: 10 พ.ย. 2568 04:08 น.

Summary

โครงการคนละครึ่งพลัสเฟสแรกมีผู้ใช้สิทธิกว่า 19 ล้านคน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ผู้ใช้โครงการส่วนใหญ่พอใจ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
  • ผู้เข้าร่วมโครงการเสนอให้ปรับปรุงระบบให้เสถียรขึ้นและขยายวงเงิน
  • ร้านค้าส่วนใหญ่พอใจกับโครงการ ช่วยเพิ่มยอดขาย
  • รัฐบาลเตรียมโครงการเฟส 2 เพื่อให้ครอบคลุมผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ

Latest

ผู้ว่า กฟผ.คนใหม่เปิดวิชั่นปี69 ประกาศลั่น! ลุยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก

หลังจากดีเดย์เริ่มใช้ “โครงการคนละครึ่งพลัส” เฟสที่ 1 มาแล้วครบ 10 วัน มีผู้ใช้สิทธิในเฟสแรกแล้วกว่า 19 ล้านคน มีเงินสะพัดเพิ่มขึ้นในแทบทุกตลาดทั่วประเทศ รัฐบาลเตรียมที่จะออก “โครงการคนละครึ่งพลัส” เฟส 2 เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายต่อเนื่อง

โดยเฟสที่ 2 จะเป็นรอบเก็บตกผู้ที่ไม่ทันในรอบแรก ขณะที่ผู้ที่ใช้สิทธิในเฟสแรกยังสามารถใช้สิทธิต่อเนื่องในเฟสที่ 2 ได้ด้วย คาดว่าจะผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงเดือน ธ.ค.2568 และใช้ได้ช่วงต้นปี 2569

แต่ก่อนที่จะไปถึงเฟส 2 “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ความคิดเห็นของคนไทย ทั้งผู้ที่ได้ใช้สิทธิในโครงการ และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ถึงข้อดีและข้อเสีย ความกังวลใจ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรค เพื่อช่วยเป็นเสียงสะท้อนให้รัฐบาลปรับปรุง “คนละครึ่งพลัส” ให้ตรงประเด็น และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น...มาสำรวจความคึกด้วยกัน...ดังนี้

รจนา พงษ์ไพโรจน์ (หนึ่ง)
Multi–Property Director of Operations โรงแรมมาดีไปดี กรุงเทพฯ

โดยส่วนตัวรู้สึกพอใจกับโครงการคนละครึ่งพลัส เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ดี และลดได้จริง ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร หรือของใช้ทั่วไป ซึ่งตนเองจะใช้สิทธิ์ซื้ออาหาร ของใช้จำเป็น และค่ารถไฟฟ้า BTS เพราะต้องขึ้น BTS ไปทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เลยรู้สึกว่าคุ้มค่าและได้ใช้สิทธิ์มาก

“แม้จำนวนเงินที่รัฐให้ 2,400 บาทไม่มาก แต่ก็ช่วยประหยัดและทำให้จัดการรายจ่ายได้ดีขึ้นในแต่ละเดือน โดยจะทยอยใช้ตามความจำเป็น เพื่อใช้สิทธิ์ได้นานๆและคุ้มค่าที่สุด”

สำหรับการใช้สิทธิ์โดยรวมใช้งานได้ดี แต่ช่วงที่คนใช้พร้อมกันมากๆระบบช้า หรือโหลดไม่ขึ้น ถ้าพัฒนาระบบให้เสถียรกว่านี้อีกนิด ก็จะดีมาก ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ หาไม่ยาก และยังไม่เคยถูกร้านค้าเอาเปรียบ ยังขายสินค้าราคาปกติ และให้บริการดีเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าร้านค้ามีน้อยกว่าครั้งก่อน ถ้าประชาสัมพันธ์ หรือจูงใจให้ร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมมากขึ้น หรือทำให้ขั้นตอนการลงทะเบียนของร้านค้าง่ายขึ้น คงช่วยให้ร้านค้าเข้าร่วมมากขึ้น และคนใช้สิทธิ์ก็จะสะดวกมากขึ้น

“รัฐเข้ามาช่วยได้ตรงจุดในช่วงที่ค่าครองชีพสูง และที่สำคัญ ไม่ลืมผู้เสียภาษี ยังเพิ่มเงินให้ผู้เสียภาษีด้วย ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย อยากให้รัฐทำต่อเนื่อง เพราะมีประโยชน์จริงๆ และประชาชนเข้าถึงได้ง่าย แต่ถ้าลดขั้นตอนการลงทะเบียนของทั้งฝั่งร้านค้า และประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ครั้งแรกให้ง่ายขึ้นอีกหน่อย น่าจะทำให้ร้านค้าเข้าร่วมมากขึ้น ประชาชนก็จะใช้สิทธิ์สะดวกและทั่วถึงมากขึ้น และจะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนได้มากขึ้นอีก”

ฤทธิพงศ์ ศรีจันทร์ (ไอซ์) ผู้จัดการนิติบุคคลคอนโดมิเนียม

“คนละครึ่งพลัส” มองว่าเป็นโครงการที่ดีค่ะ เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปครึ่งหนึ่ง เช่น ถ้าเราไปซื้อของที่อยากทาน เห็นแซลมอนราคา 200 บาท แต่เราจ่ายแค่ 100 บาท ช่วยเซฟเงินได้มาก ทำให้แฮปปี้กับการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งพลัส และยังช่วยทำให้แฮปปี้กับการใช้จ่ายมากขึ้นด้วย เดี๋ยวนี้เดินไปปากซอย ซื้อแทบทุกร้านเลย”

หากถามตามความต้องการของเรา วงเงินที่ให้ 2,000 บาท น้อยไปหน่อยค่ะ หนูอยากได้มากกว่านี้ และอยากให้ใช้แบบไม่จำกัดวงเงินไปเลย ใช้ไปเลยหมด 2,000 บาทก็หมดไปเลย แต่เมื่อรัฐพยายามให้เศรษฐกิจมันขับเคลื่อน จำเป็นที่จะต้องจำกัดวงเงินต่อวันไม่เกิน 200 บาท ก็ไม่เป็นไร เราก็พยายามใช้จ่ายในวงเงินที่เขาให้มา จะได้ใช้จ่ายทุกวัน และจะได้ไม่หมดไว ยังช่วยป้องกันปัญหาคนเอาเงินไปสแกนแลกเป็นเงินสดออกมาได้ด้วย

“200 บาทต่อวันก็เพียงพอสำหรับซื้อของกิน เพราะไม่ได้ไปซื้อของใช้ หรืออะไรแพงๆ ส่วนใหญ่หนูก็ใช้ซื้อของกิน ส่วนเสื้อผ้าก็สั่งในออนไลน์อยู่แล้ว คนส่วนใหญ่ก็ใช้ซื้อของกิน ตลาดใต้คอนโดฯของเราแทบทุกร้านก็ร่วมคนละครึ่งหมดเลย เพราะใช้จ่ายง่าย หาร้านค้าง่าย ลูกบ้านใช้จ่ายกันสนั่น”

“ครั้งนี้ลงทะเบียน และสแกนง่ายกว่าครั้งก่อน สำหรับคนที่มีรายได้กลางๆอย่างเราก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ และยังช่วยให้เราทานอาหารที่ เราอยากทานในราคาแพงขึ้นได้ด้วย แต่ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องจำกัดวงเงินนิดหนึ่ง 200 บาทต่อวันที่น้อยไปเท่านั้น อยากให้มีโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจมันคึกคักขึ้นจริง พ่อค้าแม่ค้าที่เคยเงียบๆกลายเป็นขายของดีขึ้นมาก และลูกบ้านก็ลงมาซื้อของกันมากขึ้น แต่ก็ไม่มั่นใจว่า การที่รัฐให้เริ่มใช้คนละครึ่งในแอปพลิเคชันดีลิเวอรีได้ คนจะลดลงไหม แต่ตอนนี้เขาให้สแกนหน้าร้าน คนก็ครึกครื้นมาก หนูให้ 10 เต็ม 10 เลยค่ะ”

สโรชา อุทัยวรรณ (อาบี) ทีมประชาสัมพันธ์พิเศษ Isuzu Lady

โดยรวมรู้สึกพึงพอใจกับโครงการคนละครึ่งพลัส เพราะช่วยให้การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น เวลาซื้ออาหารหรือสินค้าในร้านที่ร่วมโครงการก็รู้สึกตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถือว่าเป็นโครงการที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้จ่ายจริงในชีวิตประจำวัน

“จำนวนเงินที่ได้รับถือว่ามีประโยชน์มาก แม้จะอยากให้เพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจข้อจำกัดของรัฐบาลดีค่ะ ส่วนตัวเลือกใช้จ่ายแบบทยอยใช้ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์ได้ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาโครงการ และส่วนใหญ่จะใช้ซื้ออาหารและเครื่องดื่ม เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและใช้ได้บ่อยที่สุดค่ะ”

นอกจากนั้น ยังสามารถหาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ไม่ยาก เพราะมีร้านค้าร่วมจำนวนมาก ทั้งร้านเล็กและร้านใหญ่ ทำให้ใช้สิทธิ์ได้ในหลายพื้นที่และหลายโอกาส แต่อาจจะมีปัญหาเล็กน้อย เช่น แอปพลิเคชันอาจโหลดช้าหรือหน่วงบ้างในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะตอนจ่ายเงินหรือเติมเงิน แต่โดยรวมยังสามารถใช้งานได้ดีและสะดวก

“โครงการนี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้จริง แม้อาจรู้สึกว่าใช้จ่ายคล่องขึ้นจนใช้บ่อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพได้อย่างเป็นรูปธรรม และอยากให้ภาครัฐมีโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องค่ะ เพราะช่วยให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยังเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับชุมชนได้ดีขึ้นด้วย”

นวพล โพธิ์สุวัฒนากุล (เอิร์ธ)
นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

“ผมเพิ่งได้สิทธิ์คนละครึ่งเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจที่ได้รับสิทธิ์ เพราะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้ เมื่อใช้สิทธิ์ ก็ค่อนข้างพึงพอใจกับระบบ เพราะใช้งานง่าย สะดวก ไม่มีปัญหาการใช้งาน แต่บางครั้งอาจมีความไม่เสถียรของแอปพลิเคชันเล็กน้อยขณะสแกน QR Code”

ผมจะใช้สิทธิ์ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และค่ารถไฟฟ้า ซึ่งจะทยอยใช้ เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน และสามารถหาร้านค้าได้ง่าย ยังไม่เคยพบร้านค้าเอาเปรียบ ขึ้นราคาสินค้ามากกว่าปกติ หรือคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เพิ่มเติมเหมือนที่เป็นข่าว

“จำนวนเงินในภาพรวม 2,000 บาทที่ได้รับ ผมมองว่าเหมาะสม แต่จำนวนเงินเฉลี่ยต่อวัน 200 บาทค่อนข้างน้อย ไม่ครอบคลุมรายจ่ายประจำวัน ถ้าเป็นไปได้ควรเพิ่มเป็น 250 บาท เพื่อให้เพียงพอกับค่าครองชีพในปัจจุบัน และอยากให้รัฐบาลมีโครงการคนละครึ่ง หรือโครงการอื่นๆ ที่ช่วยลดรายจ่ายประชาชนออกมาอย่างต่อเนื่อง”

สุพรรษา มั่นคง (ดา) เจ้าของร้านข้าวมันไก่ “หร่อยอ่ะข้าวมันไก่ตอน”

มาต่อกันที่ฝั่งร้านค้า “หร่อยอ่ะข้าวมันไก่ตอน” เป็นร้านที่เปิดมาแล้วนานกว่า 14 ปี พิกัดร้านอยู่ที่ (ชุมชนธรากร) บนถนนรามคำแหง 166 ร้านเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงบ่ายโมง ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานออฟฟิศ และชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง และยังมีลูกค้ามาจากพื้นที่อื่นแวะเวียนมาทาน ซื้อกลับบ้าน จากการบอกเล่ากันปากต่อปาก

“การเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในภาพรวมรู้สึกพึงพอใจมาก โครงการนี้ช่วยร้านค้าได้มากจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ถือว่าเป็นแรงสนับสนุนที่ดีมากสำหรับร้านค้ารายเล็กอย่างเรา”

เพราะคนละครึ่งพลัสช่วยกระตุ้นยอดขายได้จริง “ก่อนหน้านี้แต่ละวันต้องลุ้นเลยว่าลูกค้าจะเยอะไหม ของจะขายหมดหรือเปล่า แต่ตั้งแต่มีโครงการนี้ ลูกค้าเข้ามาทานมากขึ้น เหมือนเขากล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น เพราะจ่ายเพียงครึ่งเดียว เราก็ขายได้ตามเป้าหมายแทบทุกวันค่ะ”

ส่วนของสาเหตุที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ยอมรับว่า “ไม่ได้รู้สึกกลัว หรือกังวลเรื่องภาษีย้อนหลัง” เราได้ศึกษาข้อมูลมาแล้ว เพราะเราเป็นร้านขนาดเล็ก มีรายได้ต่อวันไม่มาก ส่วนร้านที่ต้องกังวลคือร้านค้าขนาดใหญ่ ที่มีรายรับจำนวนมากต่อวัน ซึ่งก็อาจจะต้องศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเพื่อความสบายใจ

 ขั้นตอนการสมัครเข้าร่วม “สะดวกดี ไม่ยุ่งยากอะไร อาจจะมีบางช่วงที่ระบบล่าช้า หรือเจ้าหน้าที่ให้บริการไม่ทัน เพราะมีร้านค้าสมัครเยอะมาก แต่โดยรวมราบรื่นดี อยากให้โครงการแบบนี้มีต่อเนื่อง เพราะช่วยทั้งคนขายและคนซื้อได้จริงๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ ร้านเล็กๆ อย่างเราก็อยู่ได้ ลูกค้าก็ได้ของในราคาประหยัด ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เป็นโครงการที่ช่วยให้ทุกคนพออยู่พอกินไปด้วยกันค่ะ”

“ดาวร ดุลแสง” แม่ค้าบัวลอยไข่หวาน–หมูแดดเดียวและข้าวโพดต้ม

โครงการคนละครึ่งช่วยให้ลูกค้า “จับจ่ายง่ายขึ้น” อย่างเห็นได้ชัด ยอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติราว 70% เช่น จากปกติขายได้เฉลี่ยวันละ 100 ถุงเพิ่มเป็นราว 170 ถุง ลูกค้าที่เคยซื้อเพียง 1-2 ถุง กลับมาซื้อมากขึ้น 5 ถุงต่อครั้ง ส่งผลให้สินค้าขายหมดเร็ว “กลับบ้านเร็ว” กว่าช่วงปกติ อยากให้มีอีก เพราะเป็นผลดีต่อทั้งแม่ค้ารายย่อยและตัวลูกค้าประชาชนผู้บริโภคเอง

“ส่วนการสมัครเข้าร่วมไม่ยุ่งยากเพราะเคยอยู่ในโครงการมาก่อน และไม่กังวลเรื่องภาษีย้อนหลัง เพราะตอนเข้าโครงการคนละครึ่งก่อนหน้านี้ ได้เคยถูกสรรพากรเข้ามาตรวจรอบและเรียกเก็บภาษีแบบเหมา ทำให้หลังจากปีนั้น ก็จ่ายภาษีมาตลอด ปีละประมาณ 3,000 บาท ในอัตราที่ถือว่ายุติธรรม “ตอนนี้ก็จ่ายทุกปี ไม่ติดใจอะไร โครงการดีแบบนี้อยากให้มีต่อเนื่อง”

“พิพัฒน์ ชะนะแสวง” พ่อค้าผลไม้สด

ตั้งแต่วันแรกที่มี “คนละครึ่งพลัส” ยอดขายเพิ่มขึ้น คนมาซื้อเยอะขึ้น การซื้อขายคึกคักอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก โดยเห็นว่าลูกค้ามีกำลังซื้อเพิ่มจากการใช้จ่ายจากเดิมอาจจะซื้อ 100 บาท เพิ่มเป็น 150-200 บาทต่อครั้ง ขณะที่จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ส่งผลให้ยอดขายรวมเพิ่มเท่าตัวหรือเกือบเท่าตัว เทียบกับช่วงก่อนมีโครงการ

“เศรษฐกิจในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา “ฝืดเคืองมาก” ตั้งแต่หลังวิกฤติโควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลง แต่ก็ยังพออยู่ได้ เพียงพอแค่เลี้ยงตัว แต่เก็บออมไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับช่วงเศรษฐกิจดีๆก่อนหน้านี้ และก่อนมีโครงการคนละครึ่งรอบนี้ เศรษฐกิจแย่จริงๆ”

ขั้นตอนการเข้าร่วมต้องไปติดต่อสำนักงานเขตและธนาคาร พร้อมถ่ายรูปหน้าร้านยืนยันความมีตัวตน ซึ่งไม่ถือว่ายุ่งยาก ส่วนภาษีย้อนหลังไม่เป็นปัญหา เพราะอยู่ในระบบเสียภาษีแบบเหมาจ่ายอยู่แล้ว ผมเสียทุกปี ไม่ได้กลัวอะไรตั้งแต่เข้าโครงการรอบที่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นประโยชน์จากมาตรการ แต่อยากเสนอแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ว่า “ถ้าเศรษฐกิจกลับมาดีจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้รัฐอุดหนุนอีก จะได้นำเงินไปพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน”

“สุชาติ นรไสย” พ่อค้าข้าวขาหมู–ก๋วยเตี๋ยวโฮเด้ง

มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ทำให้ยอดขายดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า ปกติแล้วลุงต้องขายข้าวขาหมูให้หมดทุกวัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ลุงขายหมดเร็วขึ้น ปกติต้องขายถึง 3-4 ทุ่มครึ่ง แต่ตอนนี้บางวันขายหมดตั้งแต่ 1-2 ทุ่ม มีลูกค้ามาซื้อเยอะขึ้น คนตัดสินใจใช้จ่ายง่ายขึ้น แต่ลุงยังทำขายเท่าเดิม ไม่ได้ทำเพิ่ม ทำให้ยอดขายยังเท่าเดิม

มาตรการนี้ช่วยกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อน้อย โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้าน หรือผู้ที่มีเงินเดือนน้อย คนเหล่านี้เดิมทีไม่ค่อยซื้อขาหมูที่เป็น “กับข้าว” ที่เราขายถุงละ 100 บาท มักจะซื้ออาหารเป็นกล่อง หรือนานๆครั้งถึงจะซื้อเป็นกับข้าว พอมีโครงการทำให้เขาใช้สิทธิ์ 50 บาท (ได้สมทบจากรัฐบาล 50 บาท) ก็ซื้อขาหมูเป็นกับข้าวได้ 1 ถุง และตอนนี้ลูกค้าบางรายยังกลับมาซื้อบ่อยขึ้น 2-3 รอบต่อสัปดาห์

ขั้นตอนในการสมัครเข้าร่วมโครงการไม่ได้ยาก หากมีข้อมูลเก่าอยู่แล้ว ในเฟสนี้รัฐบาลกำหนดให้ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องไปยืนยันตัวตนและยื่นเอกสารที่เขตหรืออำเภอ ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่ต้องไปเขต และไม่ได้กังวลกับเรื่องการเก็บภาษี เพราะได้ยื่นภาษีแล้ว ตั้งแต่ “คนละครึ่ง เฟสแรก” ที่ทำให้ต้องเข้าระบบภาษีซึ่งรูปแบบเหมาจ่าย ซึ่งเราก็สบายใจ และเต็มใจจ่ายภาษี เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายควรทำ แต่ที่ต้องการคือ อยากให้โครงการนี้ทั่วถึงกับทุกคน ปัจจุบันเข้าถึงได้ 20-30 ล้านคน แต่ยังมีคนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ ตนเองก็ยังไม่ได้สิทธิ์เลย กำลังรอ “เฟส 2” อยู่ และหวังว่าจะได้รับสิทธิ์อย่างทั่วถึง ลูกค้าทุกคนก็อยากใช้สิทธิ์นี้กันหมด.

ทีมเศรษฐกิจ


คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ