
บีโอไออนุมัติมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย 3,000 ล้านบาท เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพ, R&D, และเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมใหม่
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้บีโอไอ ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธาน ได้เห็นชอบ 2 มาตรการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนเพื่ออนาคตภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล
มาตรการแรก คือ มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 3,000 ล้านบาท โดยจะให้เงินทุนสนับสนุนในสัดส่วน 30-50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว
ผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ และยานยนต์ โดยต้องลงทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็น SMEs ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการ SME ONE ID ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ทั้งนี้ต้องยื่นคำขอภายในเดือนม.ค. 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือนนับจากวันออกบัตรส่งเสริม
นอกจากนี้ เนื่องจากการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเป็นการเบิกจ่ายหลังจากที่ผู้ประกอบการดำเนินการตามเงื่อนไขแล้ว บีโอไอจึงร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในการพัฒนาสินเชื่อในรูปแบบ Bridging Loan และกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการระหว่างรอการเบิกจ่าย
มาตรการที่สอง คือ มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ภายใต้วงเงิน 2,000 ล้านบาท
เพื่อจะสนับสนุนเงินให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันฝึกอบรมที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย (Node) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับ ปวส. ขึ้นไป โดยมีเป้าหมายพัฒนาบุคลากร 100,000 คน แบ่งเป็นนักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน และบุคลากรในตลาดแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) 70,000 คน
รูปแบบการฝึกอบรมครอบคลุมทั้งแบบ Bootcamp, Onsite & Online Training รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยหลักสูตรต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูง และต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงาน และค่าตอบแทนผู้ดูแลการฝึกงาน ทั้งนี้ต้องยื่นคำขอภายในเดือนม.ค. 2569 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับจากวันออกบัตรส่งเสริม
นายนฤตม์ กล่าวว่า มาตรการที่บอร์ดอนุมัติในครั้งนี้จะเป็นการพลิกบทบาทกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้เป็นเครื่องมือด้านการเงินที่ใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมไทย ทั้งด้านการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวเพื่อยกระดับเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการสร้างบุคลากรทักษะสูงเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ นับเป็นแคมเปญสร้างบุคลากรสำหรับภาคอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งการยกระดับขีดความสามารถทั้งสองด้านนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอด แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน
“มาตรการในวันนี้ถือว่าเป็นมาตรการในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน จึงมีระยะเวลาให้มีการเร่งรัดการดำเนินการโดยนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าให้บีโอไอร่วมกับสถาบันพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อที่จะทำโครงการในการเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานและมีการให้ใบประกาศนียบัตรรับรอง ในสาขาที่มีความจำเป็นและความต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้แรงงานสามารถเข้าสู่ระบบได้ทันที”
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ไต่สวนข้อการเก็บภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากประเทศต่างๆ ว่าอาจเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขต ว่าในเรื่องนี้เป็นการตัดสินภายในตามกฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งไทยเราก็ต้องดูผลที่จะออกมาว่าในที่สุดจะเป็นอย่างไรก็ตามในส่วนของประเทศไทยการเจรจาเรื่องภาษี และการค้ากับสหรัฐฯ นั้นยังเดินหน้าต่อไปตามขั้นตอน โดยไม่รอผลการตัดสินของศาลสหรัฐฯ โดยในส่วนของการวางกลยุทธ์ในการเจรจานั้นตนเองจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะที่ในเรื่องการเจรจาในรายละเอียดจะเป็นหน้าที่ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ทำหน้าที่ในการเจรจาในรายละเอียดร่วมกับคณะทำงานภาษีของสหรัฐฯ
โดยก่อนหน้านี้ในการหารือรอบแรกกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไปแล้วรอบหนึ่ง และผลการพูดคุยเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างเป็นบวก (Positive) โดยไทยได้เน้นย้ำว่า ไทยกับอเมริกาเป็นพันธมิตรที่ดีและมีความสัมพันธ์กันยาวนานที่สุด และไทยเราได้แจ้งตรงๆ กับทางสหรัฐฯ ว่าหากประเทศไทยมีโอกาสในการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันมากขึ้นจากอัตราภาษีที่ลดลง ไทยก็จะขอโอกาสในส่วนนั้นจากสหรัฐฯ ด้วย
นายเอกนิติกล่าวต่อว่า ในขณะนี้ขั้นตอนการเจรจานั้นเราต้องเน้นในส่วนของภาคผนวกที่ 3 Appendix 3 ว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้กับประเทศไทยได้มากขึ้น ซึ่งในรายละเอียดนั้นจะต้องมีการหารือกับภาคเอกชน โดยในวันที่ 6 พ.ย.2568 ได้มีการนัดภาคเอกชนนำโดยสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนในส่วนที่เกี่ยวข้องในลักษณะที่เอกชนจับมือกับภาครัฐ เพื่อหารือในรายละเอียดต่างๆ ที่จะเป็นข้อเสนอในการทำงานระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ต่อไป
“เราคงไม่รอศาลตัดสินเสร็จก่อน เพราะเรื่องนั้นเป็นกฎหมายภายในประเทศของสหรัฐฯ รัฐบาลมีมุมมองว่าไทยเราไม่ควรอยู่เฉย หรือรอผลการตัดสินของศาลสหรัฐฯ แต่ควรหาโอกาสในการเพิ่มในการเจรจา และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยอยู่เสมอ เพราะการค้าระหว่างประเทศทุกวันนี้มีข้อกีดกันทางค้า (Non-Tariff Barriers) ที่มากกว่าเรื่องของภาษี ซึ่งเราต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยด้วย”