อีก 25 ปี วัยแรงงานไทยอาจเหลือ “ครึ่งเดียว” ผลกระทบสังคมสูงวัย - เด็กเกิดน้อยลง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

อีก 25 ปี วัยแรงงานไทยอาจเหลือ “ครึ่งเดียว” ผลกระทบสังคมสูงวัย - เด็กเกิดน้อยลง

Date Time: 29 ต.ค. 2568 12:46 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

คนไม่อยากมีลูก สู่ปัญหาเด็กเกิดน้อย แล้วต่อไปเศรษฐกิจไทยจะเติบโตจากอะไร? เมื่อแรงงานขาดแคลนและเข้าสู่สังคมสูงวัย

Latest


“มีลูก 1 คนต้องใช้เงินมหาศาล”

นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนไทยตัดสินใจมีลูกน้อยลง จนล่าสุดสะท้อนมาในอัตราการเกิดของไทยที่ลดลง จนถูกอัตราการตายแซงไปเรียบร้อยแล้ว สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร

เด็กเกิดใหม่น้อยกว่าการเสียชีวิต 5 ปีซ้อน

เริ่มกันที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือ KResearch เล่าว่า ปี 2568 นี้ประชากรไทยอาจน้อยกว่า 66 ล้านคน เพราะ 9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 309,644 คน ลดลงถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่สิ้นปีนี้คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 600,000 คน และคาดว่าในปี 2568 อัตราการเกิดของคนไทยจะน้อยกว่าการเสียชีวิตติดต่อกันเป็นปีที่ 5

แต่ปัญหานี้อยู่กับสังคมไทยมานาน ถ้าย้อนดูโครงสร้างประชากรไทยจาก UN World Population Prospects จากปี 2547 ถึงปี 2567 พบว่า สัดส่วนประชากรวัยเด็กลดลงจาก 22% เหลือ 15%, วัยแรงงานลดจาก 68% เหลือ 64% แต่ในขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุกลับเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จาก 10% กลายเป็น 21% เรียกว่าไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน

ตัวอย่างของความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญในปี 2593 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้านั้น คือ

1. ขาดแคลนแรงงาน: วัยแรงงานจะลดลงเหลือ 52% ของประชากรทั้งหมด ภายในปี 2593

2. การบริโภคมีแนวโน้มลดลง: เมื่อสัดส่วนผู้สูงวัยมากขึ้น และจำนวนวัยแรงงานที่มีรายได้สุทธิน้อยลง อาจทำให้กำลังซื้อลดลง

3. ภาระทางการคลังอาจเพิ่มขึ้น: ภาครัฐต้องใช้งบสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7% (CAGR 2558-2568)*

รับมือสังคมสูงวัย เด็กเกิดน้อย ต้องเริ่มแก้ปัญหาที่ตรงไหน?

หลายคนอาจคิดว่า ให้คนมีลูกเพิ่มสิ … แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งภาครัฐไทยก็พยายามหาทางแก้ปัญหานี้ เพราะถ้าต่อไปแรงงานน้อยลง รายได้ของภาครัฐก็อาจน้อยลงไปด้วย และอาจกระทบต่อการใช้จ่ายของภาครัฐ ไม่ว่าจะสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลไปจนถึงการเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ

ดังนั้นภาครัฐต้องเริ่มปรับแผนในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น

  • ยืดอายุเกษียณ: เพื่อเพิ่มคนทำงานในระบบ นโยบายนี้ต่างเริ่มใช้ในสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบัน (ปี 2568) ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาแนวคิดการยืดอายุเกษียณจาก 60 ปี เป็น 65 ปี
  • สนับสนุนให้บริษัทจ้างงานผู้สูงอายุ: แม้ปัจจุบันภาครัฐไทยจะมีศูนย์จัดหางานและมาตรการยกเว้นภาษีให้บริษัทที่จ้างผู้สูงอายุ แต่จำกัดว่าต้องมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานกลุ่มนี้เพียง 2.9% ของผู้สูงอายุทั้งหมด ดังนั้นภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนการทำงานของผู้สูงอายุในกลุ่มอื่นๆ ด้วย
  • Upskill/Reskill: การเพิ่มทักษะเพื่อเพิ่มความสามารถในการหารายได้ และยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานในระยะยาว
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กลุ่มสูงอายุ: ทั้งวางระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ เช่น ทางเท้าดี ๆ เดินสะดวก ไม่มีรถขับสวนไปมา และด้านการเงิน เช่น ส่งเสริมให้คนออมเงินใน "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" เพื่อเก็บไว้ใช้ยามเกษียณ

ขณะเดียวกันเมื่อภาครัฐกำลังหาทางออกให้กับประเทศ แต่ในระดับบุคคลหรือตัวเราเองจะเตรียมตัวรับมือกับปัญหาสังคมสูงวัยที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร ได้บ้าง

ในอนาคตถ้าระบบประกันสุขภาพจากภาครัฐมีเงื่อนไขยกเว้นมากขึ้น เราอาจเริ่มวางแผนค่ารักษาพยาบาลหลังเกษียณ ว่าต้องใช้เงินเท่าไรผ่านการซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมตามที่เราต้องการ นอกจากนี้อาจวางแผนลงทุน เพื่อให้มีเงินใช้หลังเกษียณ

*งบสวัสดิการรายได้ ได้แก่ เงินสมทบ กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ บำเหน็จ/บำนาญ กองทุนการออมแห่งชาติ และเบี้ยผู้สูงอายุ, งบสวัสดิการสุขภาพ ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ บัตรทอง และประกันสังคม


ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ