ภาษีทรัมป์ทำให้สหรัฐฯ เป็นขุมทองของไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ภาษีทรัมป์ทำให้สหรัฐฯ เป็นขุมทองของไทย

Date Time: 21 ต.ค. 2568 04:22 น.

Summary

คู่แข่งของดั๊บเบิ้ล เอ ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่มากกว่า จึงคาดว่าดั๊บเบิ้ล เอ จะมีโอกาสที่ดีขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เราไม่ได้ขยายออฟฟิศในอเมริกามามากกว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้กำลังขยายกำลังคน

Latest

บิ๊กเอกชนร้องรัฐแก้ปมกัมพูชาด่วน

20 ม.ค.2568 วันที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ว่ายุคทองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อเมริกาจะกลับมาร่ำรวยและยิ่งใหญ่อีกครั้ง ตามมาด้วยการออกคำสั่งบริหารหลายฉบับ เน้นให้ความสำคัญกับประเทศชาติเป็นอันดับแรก

ตั้งแต่นั้นประชาคมโลกก็ขับเคลื่อนด้วยความปั่นป่วน โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศวันปลดแอก 2 เม.ย.2568 กำหนดเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ประเทศทั่วโลกที่ทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โฟกัสประเทศที่ได้ดุลการค้ากับอเมริกาในระดับสูง กระตุ้นความแตกตื่น เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ในฐานะตลาดหลักของโลก สำคัญต่อประเทศน้อย-ใหญ่มากมายที่ทำการค้าขายด้วย มีการประกาศภาษีขั้นต้นสำหรับประเทศไทยในอัตรา 36% จากตัวเลขเฉลี่ยภาษีศุลกากรเดิมที่สหรัฐฯ เรียกเก็บสินค้านำเข้าจากไทยอยู่ที่ 2% ส่วนไทยเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯที่ 8% (ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด, บีบีซีไทย)

ระหว่างทาง...หลังขู่เก็บภาษีสูงลิ่ว รัฐบาลทรัมป์เปิดโต๊ะเจรจาเพื่อให้ประเทศน้อย-ใหญ่เข้ามายื่นหมูยื่นแมว เสนอผลประโยชน์ที่สหรัฐฯพึงพอใจ จนกระบวนการยืดเยื้อเสร็จสิ้น ไทยเคาะจบอัตราภาษีได้ที่ 19% เริ่มต้น 1 ส.ค.2568

ผ่านมาจะครบ 3 เดือน ภาษีที่ชวนขนพองสยองเกล้ากลายเป็นน้ำใสไหลเย็นสำหรับผู้ส่งออกไทยในหลายอุตสาหกรรม ต่อเรื่องนี้ นายเสรี จินตนเสรี ประธานกรรมการบริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกกระดาษรายใหญ่ของไทย เผยว่า ดั๊บเบิ้ล เอ คือ 1 ในผู้ส่งออกที่ได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีใหม่ของรัฐบาลทรัมป์

“คู่แข่งของดั๊บเบิ้ล เอ ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่มากกว่า จึงคาดว่าดั๊บเบิ้ล เอ จะมีโอกาสที่ดีขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เราไม่ได้ขยายออฟฟิศในอเมริกามามากกว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้กำลังขยายกำลังคน ส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยในตลาดขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ คือโอกาสที่ดีของธุรกิจ”

พูดถึงคู่แข่งของดั๊บเบิ้ล เอ ในตลาดสหรัฐฯ เริ่มต้นจากบราซิล ซึ่งได้เปรียบด้านโลเกชัน อยู่ไม่ไกลจากสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งไม่แรงนัก แต่ภาษีอัตราใหม่ที่บราซิลถูกเก็บอยู่ที่ 50% ทำให้กระดาษจากบราซิลราคาเพิ่มขึ้นจากภาระภาษีที่สูงขึ้นทันที ขณะที่กระดาษจากจีนในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่อีกราย โดนเรียกเก็บภาษีที่ระดับ 50% และถูกขู่เพิ่มว่าจะถูกตั้งกำแพงภาษีทะลุ 100% ด้วยซ้ำ

ส่วนอินโดนีเซีย คู่แข่งอีกราย แม้อยู่ในสถานะใกล้เคียงกัน ทั้งทำเลที่ตั้งและภาษีที่ถูกเรียกเก็บในอัตราเดียวกันที่ 19% แต่ผู้ส่งออกอินโดนีเซียบางรายถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มแบบ On Top

อีกประมาณ 30% ในข้อหาทุ่มตลาด (ขายสินค้าในราคาต่ำกว่า มูลค่าปกติ) ทำให้กระดาษที่ส่งออกไปขายในสหรัฐฯแพงขึ้น วิบากกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคู่แข่ง จึงทำให้ตลาดสหรัฐฯกลายเป็นขุมทองของดั๊บเบิ้ล เอ ทันที

“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ดีต่อดั๊บเบิ้ล เอ รายเดียว ยังมีผู้ส่งออกอีกหลายรายได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจส่งออกปลาทูน่า”

เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 2534 ดั๊บเบิ้ล เอ ใช้เวลา 10 ปี ปูรากฐานในประเทศ แล้วจึงขยายสู่ตลาดต่างประเทศในปี 2544 บุกเบิกจากประเทศในเอเชีย ตามด้วยออสเตรเลีย จากนั้นในปี 2550 ขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และบุกเข้ายุโรป แอฟริกา และอเมริกาตั้งแต่ปี 2554 จนปัจจุบัน กระดาษของดั๊บเบิ้ล เอ มีวางจำหน่ายใน 130 ประเทศทั่วโลก

นายเสรีฝากถึงรัฐบาลใหม่ว่า ในภาวะการค้าโลกปั่นป่วน รัฐบาลควรเร่งเจรจา เพื่อปิดจบข้อตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีที่ยังติดค้างอยู่กับหลายประเทศ จากที่ก่อนหน้านี้สามารถปิดการเจรจากับอินเดียได้สำเร็จประเทศเดียว ข้อภาษีที่ได้รับการผ่อนปรนจากการทำเขตการค้าเสรีกับอินเดีย ช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย เพราะอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสมากในปัจจุบันและอนาคต เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆที่ควรมีข้อตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีร่วมกัน

นอกจากนั้น ยังควรลด ละ เลิกกฎระเบียบที่ขัดขวางความสะดวกสบายในการดำเนินธุรกิจ ยกเลิกใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น เช่น รง.4 (ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน) ให้กับอุตสาหกรรมที่ควรสนับสนุน เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก

“ประเทศไทยยังควรบริหารจัดการทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์ มีประสิทธิภาพ โปร่งใส นอกจากนั้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังควรทำงานร่วมกัน เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินบาทด้วย”.

ศุภิกา ยิ้มละมัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ