"คนละครึ่งพลัส" กลับมาอีกครั้ง เติมเงิน เติมโอกาส ฟื้นพลังจับจ่ายทั่วไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"คนละครึ่งพลัส" กลับมาอีกครั้ง เติมเงิน เติมโอกาส ฟื้นพลังจับจ่ายทั่วไทย

Date Time: 20 ต.ค. 2568 04:55 น.

Summary

รัฐบาลภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เดินเครื่องโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ต่อชีวิตเศรษฐกิจฐานราก สานต่อโครงการยอดนิยมที่เคยจุดประกายกำลังซื้อให้ทั้งประเทศ

Latest

“ศุภจี”ย้ำสหรัฐฯอย่ายุ่งอธิปไตยไทย

รัฐบาลภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เดินเครื่องโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ต่อชีวิตเศรษฐกิจฐานราก สานต่อโครงการยอดนิยมที่เคยจุดประกายกำลังซื้อให้ทั้งประเทศ เปิดลงทะเบียนวันแรก “20 ตุลาคม” นี้ ผ่านแอป “เป๋าตัง” พร้อมเพิ่มสิทธิพิเศษวงเงินใช้จ่ายและโอกาสให้ร้านค้า ประชาชนทั่วไทยเข้าถึงโครงการมากขึ้น

กว่า 4 ปีที่ “คนละครึ่ง” ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลายเป็นสัญลักษณ์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้าถึงหัวใจคนไทย เพราะไม่เพียงช่วยลดค่าครองชีพ แต่ยังทำให้ร้านค้ารายเล็กกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อรัฐบาล “อนุทิน” เข้ามาจึงประกาศเดินหน้าต่อยอดด้วย “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อเพิ่มพลังให้ระบบเศรษฐกิจหมุนต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2568

ตามที่ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวไว้ว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งใน 4 มาตรการใหญ่เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภค ที่รัฐบาลอนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 โดยมีเป้าหมายฟื้นกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมเน้นกระจายรายได้ถึงเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ

“5 เพิ่ม” ยกเครื่อง “คนละครึ่ง พลัส”

เวอร์ชัน “พลัส” ที่มาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการนำมาตรการเก่ามาทำซ้ำ แต่เป็นการอัปเกรดเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและสิทธิประโยชน์ คือ 

1.เพิ่มช่วงอายุผู้มีสิทธิ์ ขยายอายุผู้เข้าร่วมโครงการให้เริ่มได้ตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป จากเดิมอายุ 18 ปีขึ้นไป 

2.เพิ่มวงเงินใช้จ่าย จากเดิมวันละ 150 บาท เป็น 200 บาทต่อวัน 

3.เพิ่มสิทธิพิเศษผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้รับสิทธิ์ 2,400 บาท ขณะที่ประชาชนทั่วไป รัฐร่วมจ่าย 2,000 บาทต่อคน

4.เพิ่มโอกาสให้ร้านค้า Micro–SME เปิดกว้างให้ร้านค้าใหม่ ธุรกิจรายย่อย และบริการท้องถิ่นเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น 

5.เพิ่มทักษะร้านค้า โดยภาครัฐจัดโครงการ Upskill/Reskill เพื่อให้ร้านค้าใช้เทคโนโลยีและระบบชำระเงินดิจิทัลอย่างคล่องแคล่ว


ลงทะเบียนผู้ใช้สิทธิ์วันแรก 20 ต.ค.นี้

“คนละครึ่ง พลัส” เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 ผ่านแอป “เป๋าตัง” โดยผู้ที่เคยใช้สิทธิ์สามารถกดยืนยันได้ทันที ส่วนผู้ใช้ใหม่ต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบ G–Wallet ก่อนเริ่มใช้งาน

หลังลงทะเบียนสำเร็จ สามารถใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 29 ตุลาคม -31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00-22.00 น. อย่างไรก็ตาม ต้องใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายใน 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ์ตามเงื่อนไข

ประชาชนที่ต้องการเข้าร่วม “คนละครึ่ง พลัส” ต้องมีคุณสมบัติครบตามที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ สัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ลงทะเบียน มีบัตรประจำตัวประชาชนเลข 13 หลักและข้อมูลอยู่ในทะเบียนราษฎรของไทย มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่สามารถติดตั้งและใช้งานแอป “เป๋าตัง” เพื่อยืนยันตัวตนผ่านระบบ G-Wallet

ต้องไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรอบปี 2568 เพราะรัฐมอบสิทธิ์ช่วยเหลือเพิ่มเติมจากที่ได้รับเดือนละ 300 บาทต่อคนต่อเดือนตามปกติ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีนี้จะได้เพิ่มอีกเดือนละ 850 บาท รวมเป็น 1,150 บาทต่อคนต่อเดือน รวม 2 เดือนจะได้รับเพิ่มอีก 1,700 บาทต่อคนจากปกติ ต้องย้ำว่าคนกลุ่มนี้ไม่ต้องไปลงทะเบียนรับสิทธิ์ “คนละครึ่ง พลัส” อีก เพราะคุณได้รับสิทธิ์ไปแล้ว

ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าวสามารถลงทะเบียนได้ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 ผ่านแอป “เป๋าตัง” โดยผู้ใช้เก่าที่เคยเข้าร่วม “คนละครึ่ง” เฟสก่อนหน้าเพียงกดยืนยันสิทธิ์ในแอปได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนผู้ใช้ใหม่ต้องยืนยันตัวตนในระบบ G-Wallet และเติมเงินล่วงหน้า เพื่อพร้อมใช้สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568

สิทธิ์นี้เปิดให้กับประชาชนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลตั้งเป้ารองรับกว่า 20 ล้านสิทธิ์ และกำชับให้ธนาคารกรุงไทยเตรียมขยายระบบเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการลงทะเบียนพร้อมกันในวันแรก ป้องกันเหตุระบบล่มหรือหน่วงช้าในชั่วโมงเร่งด่วน

เปิดลงทะเบียนร้านค้าวุ่นซะแล้ว

สำหรับร้านค้าได้เปิดรับลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม–19 ธันวาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่งพลัส.com หรือ www.ถุงเงินกรุงไทย.com โดยร้านค้าเดิม ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนร้านค้าใหม่ยื่นใบสมัครแนบสำเนาบัตรประชาชนและรูปถ่ายร้าน เมื่อผ่านเกณฑ์ระบบจะปรากฏเมนู “คนละครึ่ง พลัส” บนแอป “ถุงเงิน”

หลังรัฐบาลเปิดให้ร้านค้ากลุ่มใหม่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” บรรยากาศทั่วประเทศเต็มไปด้วยความคึกคัก ร้านอาหาร ร้านชำ ร้านกาแฟ ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้ง และผู้ประกอบการรายย่อยต่างเร่งลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการยอดนิยมที่ช่วยเพิ่มยอดขายและหมุนเงินกลับเข้าสู่ชุมชนในช่วงปลายปีได้อย่างเป็นรูปธรรม

วันแรกของการเปิดลงทะเบียน มีร้านค้าลงทะเบียนสำเร็จแล้วกว่า 80,000 รายทั่วประเทศ และอีกหลายพันรายอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล เสียงสะท้อนจากร้านค้าส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่า ขั้นตอนสมัครปีนี้ “ง่ายและชัดเจนขึ้น” โดยเฉพาะคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยและจุดบริการของกระทรวงมหาดไทยที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยดำเนินการได้สะดวกมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีบางร้านที่ประสบปัญหา เช่น แอป “ถุงเงิน” ไม่แสดงปุ่มยืนยันสิทธิ์ ทำให้ต้องเดินทางไปธนาคารด้วยตนเอง เกิดภาพต่อคิวยาวในบางพื้นที่ และมีข้อเสนอให้รัฐปรับปรุงระบบให้สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้เต็มรูปแบบ เพื่อประหยัดเวลาและลดภาระเอกสารในอนาคต

หลายเสียงสะท้อนจากภาคผู้ค้าระบุว่า แม้จะเข้าใจถึงความจำเป็นของการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต แต่รัฐบาลควรเร่งพัฒนา “ระบบยืนยันสิทธิ์อัตโนมัติ” ให้รวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น เช่น เมื่อร้านค้ากดยืนยันแล้ว ควรแสดงผลสถานะชัดเจนภายใน 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอการตรวจสอบข้ามวัน รวมถึงควรเปิดช่องทางให้ร้านค้าแก้ไขข้อมูลออนไลน์ได้เองหากส่งเอกสารไม่ครบ เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเดินทางซ้ำไปจุดบริการ นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องให้ภาครัฐเตรียมเจ้าหน้าที่เพียงพอในช่วงเร่งด่วน โดยเฉพาะสาขาธนาคารกรุงไทยในต่างจังหวัดที่มีผู้สมัครจำนวนมาก

คนค้าขายหวังโอกาสเพิ่มรายได้

แม้จะยังมีเสียงบ่นเรื่องความล่าช้าและความไม่สะดวกบ้าง แต่โดยภาพรวมร้านค้าส่วนใหญ่ยอมรับว่าโครงการนี้ช่วยเพิ่มรายได้จริงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว “ปีนี้ขั้นตอนง่ายขึ้นมาก แม้ต้องยื่นเอกสาร แต่ไม่ยุ่งยากเหมือนเดิม”

กระทรวงการคลังคาดว่า ภายในสิ้นปีจะมีร้านค้าทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงขับสำคัญให้เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 และเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในโรดแม็ปเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ที่ต้องการเห็น “คนตัวเล็ก” กลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

สำหรับคุณสมบัติของร้านค้าที่เข้าร่วม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ร้านค้าบุคคลธรรมดา และร้านค้านิติบุคคลหรือวิสาหกิจเฉพาะกิจ เช่น กลุ่มอาชีพหรือวิสาหกิจชุมชน ร้านค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมต้องเป็นร้านจำหน่ายสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ร้านชำ ร้านกาแฟ ร้านนวด ร้านเสริมสวย หรือบริการขนส่งสาธารณะ มีบัญชีธนาคารกรุงไทยเพื่อเชื่อมระบบชำระเงินผ่านแอป “ถุงเงิน”

และต้องเป็นร้านที่มีสถานประกอบการตรวจสอบได้จริง ขณะเดียวกันร้านค้าต้องไม่จำหน่ายสินค้าต้องห้ามตามกฎหมาย เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สลากกินแบ่ง หรือการพนัน

ร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อย ระบบจะปรากฏเมนู “คนละครึ่ง พลัส” ในแอป “ถุงเงิน” เพื่อเริ่มรับชำระเงินจากประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

เปิดระบบ “ฟู้ดดีลิเวอรี” ครั้งแรก

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของ “คนละครึ่ง พลัส” คือการเปิดช่องทางใช้สิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรี ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถ “สั่งอาหารออนไลน์” แล้วหักสิทธิ์ร่วมจ่ายแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ G–Wallet ได้โดยตรง

ที่ผ่านมา “คนละครึ่ง” จำกัดเฉพาะการซื้อสินค้าหรือบริการที่หน้าร้านเท่านั้น แต่การเปิดระบบดีลิเวอรีในครั้งนี้ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในเมืองใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินทาง ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสให้ร้านอาหารรายย่อยและผู้ประกอบการในท้องถิ่นขยายฐานลูกค้าไปยังพื้นที่อื่นได้มากขึ้น

นอกจากเพิ่มช่องทางดิจิทัลแล้ว รัฐบาลยัง “ขยายกลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการ” ให้กว้างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเปิดรับทั้งร้านค้านิติบุคคลขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เข้าร่วมได้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูให้ธุรกิจขนาดเล็กที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายได้รับสิทธิ์เทียบเท่าร้านค้ารายย่อยทั่วไป เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ขณะเดียวกันโครงการยังครอบคลุมถึงร้านนวด สปา เสริมสวย รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่มีมิเตอร์ รถตู้โดยสารสาธารณะ และรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การเปิดให้เข้าร่วมในครั้งนี้จึงช่วยต่อยอดรายได้แก่ภาคบริการรายย่อยและแรงงานอิสระให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เป็นก้าวใหม่ของ “คนละครึ่ง พลัส” ที่ไม่ได้เพียงต่อยอดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ยังขยายผลเชิงโครงสร้าง เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจฐานรากของไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ โดยรัฐบาลอัดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจลงไป 44,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับการสมทบของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท จะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 88,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่สมทบในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 23,000 ล้านบาท จะมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมแสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยดันผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 0.6% เพิ่มจากถ้าไม่ทำโครงการนี้จีดีพีจะขยายตัวได้ 0.3%

ปลุกพลัง 5 เสาหลักเศรษฐกิจ

เบื้องหลังโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” อยู่ในกรอบ “Quick Big Win และ 5 เสาหลักเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน” ซึ่งได้มีการฉายภาพนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 บนการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้ง 5 เสาหลัก ได้แก่ 1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ใช้มาตรการร่วมจ่าย “คนละครึ่ง พลัส” 20 ล้านคน และเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคน และมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อฟื้นรายได้ประชาชน 2.ลดภาระหนี้ของประชาชน ปรับโครงสร้างหนี้และเปิดช่องให้ลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบ 3.เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม 4.เพิ่มการออมของประชาชน สลากออมทรัพย์และพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อสร้างหลักประกันทางสังคม 5.การลงทุนเพื่ออนาคต เร่งลงทุนผ่าน BOI Fast Pass พร้อมพัฒนาแรงงานและพลังงานสะอาด

มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นก้าวแรกของความพยายามฟื้นกำลังซื้อจากฐานล่างขึ้นบน ในเวลาอันจำกัดในการทำงานของรัฐบาลในระยะ 4 เดือน ผลลัพธ์จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ยังต้องติดตามการดำเนินงานจริงของแต่ละมาตรการในระยะต่อไป โดยเฉพาะ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งถูกจับตามองว่าจะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้เศรษฐกิจฐานรากได้เพียงใด.

ทีมเศรษฐกิจ



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ