
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในระหว่างการพบสื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง ภายใต้ชื่อรายการ “GovernorConnect” ว่า ธปท.ยังคงพันธกิจเดิม คือ รักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ รักษาอัตราเงินเฟ้อในระดับที่มีเสถียรภาพ ดูแลระบบการเงิน และสถาบันการเงินให้แข็งแรง ไม่วิกฤติ สามารถปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอย่างเหมาะสม และสุดท้าย คือ ดูแลระบบการชำระเงิน พร้อมกับยืนยันความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ทั้งอิสระจากการเมือง และมีอิสระในการตัดสินใจนโยบายต่างๆ
“แม้ธปท.จะเป็นอิสระแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำงานคนเดียว แต่จะประสานนโยบายกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนการเน้นเสถียรภาพเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สนใจการขยายตัวของเศรษฐกิจ เรายังคงดูแลให้เศรษฐกิจขยายตัว เพราะหากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำมากเกินไป ในที่สุดก็จะกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ดี นอกจากนั้น ที่จะเพิ่มเติมคือ ภายใต้นโยบายที่ธปท.จะดำเนินการ จะตอบคำถามมากขึ้นว่า ประชาชนจะได้อะไร สังคมจะได้อะไร และประเทศจะได้อะไร เพราะท้ายที่สุด ธปท.จะต้องดูแลประชาชน และพยายามใกล้ชิดประชาชน รวมทั้งสังคมมากขึ้น”
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป นายวิทัย กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 1% และเพิ่งลดไปล่าสุดในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทำให้มองว่า ต้องรอผลของการลดดอกเบี้ยนโยบายให้ทำงานได้เต็มที่ ซึ่ง กนง.ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยระยะต่อไปต้องการการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และเรามีกระสุนเพียงพอที่จะผ่อนคลายได้อีก แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลา ยืนยันว่า กนง.พร้อมลดดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ
“ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยที่ให้ความสำคัญลำดับแรกๆ คือ จับตาภาวะเงินฝืด ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดขึ้นในวงกว้าง ทั้งการลดของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง และการลดการใช้จ่ายของประชาชนเป็นวงกว้าง การติดลบของเงินเฟ้อมาจากราคาพลังงาน และราคาอาหารที่ลดลง ส่วนอีกเรื่องที่กังวลคือ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง โดยมีแนวคิดจัดตั้ง Social AMC หรือ บรรษัทบริหารหนี้กลาง ขึ้นเพื่อซื้อหนี้เสียในวงเงินที่ต่ำกว่า 100,000 บาท จากธนาคารพาณิชย์, บริษัทให้สินเชื่อ (นอนแบงก์) ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ภายใต้การกำกับ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ”
ผู้ว่าการธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิดการใช้ AMC ในการซื้อหนี้เสียของประชาชน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท. และสมาคมธนาคารไทย โดยการซื้อหนี้ออกมาบริหาร ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้มีโอกาสกลับมาผ่อนหนี้ได้ในวงเงินที่ต่ำมากๆ ถือเป็นการช่วยลูกหนี้ที่ไม่มีโอกาสจ่ายหนี้ได้ คาดว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้มีประมาณ 3 ล้านราย โดยจะปรับใช้บรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้น 100% มาเป็นผู้ดำเนินการในลักษณะของ Social AMC ที่เน้นช่วยเหลือแก้หนี้ประชาชน
“แต่ยังต้องหารือในรายละเอียดอีกหลายเรื่อง เช่น ราคาส่วนลดในการซื้อหนี้เสียออกจากสถาบันการเงิน วงเงินที่จะนำมาใช้ซื้อหนี้ หรือจำนวนหนี้ที่จะซื้อ เบื้องต้น คาดว่าจะใช้เงินที่เหลือจากการลดค่าธรรมเนียมนำส่งของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู 0.23% ที่ใช้ไม่หมดในโครงการคุณสู้ เราช่วย มาใช้ ซึ่งจะต้องเร่งทำให้เร็ว คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนเรื่องนี้ภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ ครอบคลุมลูกหนี้ในเฟสแรกกว่า 2 ล้านราย และจะเริ่มดำเนินการได้ต้นปีหน้า”
นายวิทัย กล่าวต่อถึงการดูแลค่าเงินบาทว่า ธปท.พร้อมดูแลให้เหมาะสมกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งให้ความสำคัญกับติดตามหาเงินที่ไม่มีที่มาที่ไป ที่เข้ามากระทบค่าเงินบาท รวมทั้งกำลังพิจารณาแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายทองคำในประเทศ ที่มีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งธปท.ได้หารือกับสมาคมค้าทองคำ และพิจารณาว่าความจำเป็นของออกมาตรการมาดูแลหรือไม่ แต่ยืนยันว่า หากมีมาตรการออกมา ก็จะไม่กระทบการซื้อขายทองคำ ทั้งทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ แต่ที่มองอยู่คือ การขายทองคำทันที และล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชั่น ที่อาจปรับการซื้อขายทองคำจากเงินบาท เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ขณะนี้มาตรการนี้อยู่ระหว่างการหารือ และหากจะดำเนินการ จะทำให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ขณะนี้ ไม่มีแนวคิดนำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ มาตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่งเพื่อลงทุนสินทรัพย์ในประเทศ เพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาท และเห็นว่า การตั้งกองทุนฯ ไม่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้