
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธาน มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นรองประธาน มีหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการ เป็นกรรมการ 25 คน โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นกรรมการและเลขานุการ
“การแต่งตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทินที่ต้องการให้มีการประชุมเพื่อติดตามการขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดใหประชุมในทุกวันจันทร์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัปดาห์หน้าวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการ จึงยังไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะมีการประชุมหรือไม่ อยู่ที่การสั่งการของนายกรัฐมนตรี”
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ นายสิริพงศ์ ระบุว่า คาดว่าจะมีการประชุมเรื่องนี้ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดแรก รวมทั้งการแต่งตั้งทีมไทยแลนด์ชุดใหมด้วย
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมอบหมายให้นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์เจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐ โดยความชัดเจนการตั้งทีมไทยแลนด์ชุดใหม่นั้นต้องสอบถามจากนางศุภจี้ ส่วนตนเองมีหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูลในการเจรจาในฐานะที่เคยร่วมทีมเจรจาเมื่อรัฐบาลที่ผ่านมา
วันเดียวกัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ว่า รัฐบาลจะทยอยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนนี้ โดยมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เตรียมจะออก 1.มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ให้นำมาหักค่าลดหย่อนภาษีได้ โดยให้สิทธิ์สำหรับผู้ที่จะท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเดียว 2. เร่งรัดการจัดอบรมสัมมนาของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจให้เร็วขึ้น จากไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณเป็นช่วงต้นปี โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้จัดอบรมสัมมนาภายในเดือนม.ค.69 3.มาตรการภาษีสำหรับการปรับปรุงโรงแรมที่พัก (Renovation) โดยพิจารณาถึงวินัยทางการคลังอาจให้หักที่ 1.5-2 เท่า และได้หารือ ธนาคารออมสิน เพื่อให้เข้ามาช่วยสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการโรงแรมด้วย
“เม็ดเงินรวมจากการจัดอบรมสัมมนาของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีจำนวนรวมกันเกือบ10,000 ล้านบาท หากสามารถเร่งรัดได้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก ผมไปดูตัวเลขแล้ว ส่วนราชการ มีประมาณ 3,600 ล้านบาท รัฐวิสาหกิจอีก 3,000 กว่าล้านบาท ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีเงื่อนไขว่า หากจะไปอบรมในเมืองหลัก เช่น จังหวัดใหญ่ที่มีโรงแรมใหญ่ ต้องพ่วงเมืองรองไปด้วย เพื่อให้เงินกระจายไปสู่ชุมชนเมืองรอง”
นายเอกนิติ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนด้วยกลไกซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารมาจัดการนอกระบบ จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท พร้อมตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มาบริหารจัดการ คาดเห็นผลเป็นรูปธรรมในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งขณะนี้ทีมงานอยู่ระหว่างหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.เข้ามาดูแลเองเพื่อผลักดันการแก้หนี้ประชาชนให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว ด้วยการใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ 26,000 ล้านบาท ที่สถาบันการเงินต่างๆ ส่งเข้ากองทุนฯ และบางส่วนจะนำไปซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารไม่เกิน 10,000 ล้านบาท โดยเป้าหมายการแก้หนี้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ชำระหนี้ตามกำลังในสถานการณ์รายได้ในปัจจุบัน หากในอนาคตมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็สามารถปรับการชำระหนี้ได้
ทั้งนี้ กลไกการซื้อหนี้ หากตั้ง AMC ขึ้นมาใหม่ อาจไม่ทันเวลา 4 เดือน จึงต้องใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทั้ง ธปท. และกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่แล้ว ดำเนินการได้ทันที