
“หางานยาก”
“ยื่นใบสมัครไปก็ยังไม่มีบริษัทไหนรับเลย”
บนโลกโซเชียล หลายคนเริ่มพูดถึงปัญหางานหายากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ที่มักบ่นกันว่า ตำแหน่งที่เปิดรับชอบระบุว่า “ต้องมีประสบการณ์” ทำให้การยื่นสมัครงาน และโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ดูน้อยลงทุกที
Thairath Money อยากชวนมาเจาะลึกสาเหตุที่ “งานหายาก” อาจไม่ใช่เรื่องความสามารถของบุคคล แต่เพราะตลาดแรงงานที่เปราะบาง และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง?
ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า แม้ว่าอัตราว่างงานใน “กลุ่มเด็กจบใหม่” หรือกลุ่มอายุ 15-24 ปีที่จบปริญญาตรีขึ้นไป มักอยู่ในระดับสูง แต่ล่าสุดตัวเลขนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยไตรมาส 2 ปี 68 สูงถึง 18.9% จากไตรมาส 1 ปี 68 อยู่ที่ 16.1%
จากข้อมูลนี้สะท้อนว่า เด็กจบใหม่เสี่ยงที่จะว่างงานสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ และถือว่าน่ากังวลมากเพราะถ้าไม่ได้ทำงานนาน ๆ ไป อาจทำให้ทักษะของพวกเขาลดลง ดังนั้นในภาพรวมอัตราการว่างงานของกลุ่มเด็กจบใหม่อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะปรับตัวดีขึ้น และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้ผ่านการส่งเสริมการ Reskill/Upskill เพื่อเพิ่มโอกาสหางานทำได้มากขึ้น
แต่ปัญหาของตลาดแรงงานไทย ไม่ใช่แค่กลุ่มเด็กจบใหม่เท่านั้น จากข้อมูลพบว่าอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมยังเร่งตัวขึ้นด้วย ขณะเดียวกันการจ้างงานเริ่มทยอยลดลงโดยเฉพาะในธุรกิจไทยที่เจอผลกระทบจากการส่งออกไปสหรัฐฯ และการแข่งขันที่สูงขึ้น ได้แก่
- ธุรกิจเสี่ยงสูง จ้างงานลดลง 2.6 แสนคน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารา, สิ่งทอ, อาหารทะเล (กุ้ง) และยานยนต์
- ธุรกิจเสี่ยงปานกลาง จ้างงานลดลง 4.7 แสนคน โดยเฉพาะอุตสาหกรรม มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, อาหารสัตว์เลี้ยง, ยานยนต์เชิงพาณิชย์, เหล็ก, ขนส่ง และโลจิสติกส์
(ข้อมูลการจ้างงานเดือน ก.ค. เทียบครึ่งปีแรก 2568)
ดังนั้นเมื่อผู้มีงานทำมีน้อยลง รายได้ก็อาจลดลงไปด้วย สะท้อนจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ค่าเฉลี่ยรายได้จากการทำงานครึ่งแรกปี 68 อยู่ที่เดือนละ 19,616 บาท/ครัวเรือน ซึ่งลดลงจากครึ่งแรกปี 66 อยู่ที่เดือนละ 20,799 บาท/ครัวเรือน
ยรรยง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเจอความท้าทายอีกมาก โดยช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอลงจน GDP อาจโตต่ำ 1% และยังเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ทำให้ภาพรวม GDP ในปี 68 จะเติบโตเพียง 1.8% และปีหน้าจะชะลอตัวลงที่ 1.5%
ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกที่ไทยต้องเผชิญในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ
1) การส่งออกจะหดตัวมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2569 หลังหมดแรงหนุนจากปัจจัยชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นการเร่งส่งออกสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์ (เช่น อิเล็กทรอนิกส์และหมวดอื่น ๆ) รวมถึงปัจจัยพิเศษทองคำที่มีการส่งออกในสัดส่วนสูง
2) เงินบาทที่แข็งค่าทั้งเร็วและแรง ปัจจุบันแข็งค่ากว่า 8% ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 40 ที่ต้องให้ความสำคัญเพราะเงินบาทแข็งค่าไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว และยังกลายเป็นปัจจัยกดดันต่อการท่องเที่ยวรวมถึงภาคการส่งออกของไทย
3) นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว โดยข้อมูลล่าสุด 8 เดือนแรกปี 68 อยู่ที่ 23.45 ล้านคน ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เช่น จีน (ลดลง 35%) และ อาเซียน (ลดลง 9%) ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เช่น ญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 18%), จีน (เพิ่มขึ้น 28%)
แต่ไทยยังมีปัญหาภายในประเทศหลายด้านทั้ง ตลาดแรงงานที่เปราะบาง ธุรกิจ SMEs ที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 แถมยังแข่งขันกับรายใหญ่ได้ยาก นอกจากนี้ ไทยยังมีข้อจำกัดการคลัง แม้จะมี “โครงการคนละครึ่ง” ที่ใช้วงเงินงบประมาณของปีนี้ที่เหลืออยู่ 25,000 ล้านบาท แต่ในภาพรวม (เม็ดเงินราว 60,000 ล้านบาท) อาจกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% รวมถึงไทยยังติดปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะเพดาน 70% ยิ่งกลายเป็นข้อจำกัดต่อการออกมาตรการเพิ่มเติม
ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความสำคัญกับ 3 ด้าน 1) ฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ 2) มาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องตรงจุด รวดเร็ว และนโยบายการเงินควรผ่อนคลาย 3) เอื้อภาคธุรกิจให้ดำเนินธุรกิจง่ายขึ้น
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney