​สศช. ลั่น "ศักยภาพไทยถูกฉุดรั้ง ไร้ทางรอด" ถ้าไม่ "ยกเครื่องประเทศ“เร่งด่วน!

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

​สศช. ลั่น "ศักยภาพไทยถูกฉุดรั้ง ไร้ทางรอด" ถ้าไม่ "ยกเครื่องประเทศ“เร่งด่วน!

Date Time: 27 ก.ย. 2568 08:41 น.

Summary

สศช. ชี้โครงสร้างประเทศมีปัญหาฝังลึก 5 ด้าน ดึงความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจโตต่ำกว่า 5% ต่อเนื่องจนติดกับดักรายได้ปานกลาง ขณะที่ 3 ปีของแผนพัฒนาฯ 13 ใช้เงินไป 3.37 ล้านล้านบาทแต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย ทั้งรายได้ต่อหัวและความเหลื่อมล้ำ แนะต้อง “กล้าที่จะเปลี่ยน” แก้ปัญหาเชิงสถาบันอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นอนาคตประเทศจะไปต่อลำบาก ปัญหาใหญ่อยู่ที่ประสิทธิภาพภาครัฐ

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดการประชุมประจำปี 2568 หัวข้อ "ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย" โดยระบุว่า แม้ไทยจะมีศักยภาพสูงทั้งด้านที่ตั้ง ทรัพยากร และวัฒนธรรม แต่กลับประสบปัญหาและความท้าทายต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่า 5% มานานตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ไม่เพียงพอให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง การจัดอันดับของ IMD ล่าสุด ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ ลดลง 5 อันดับ จากปีก่อน โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพของภาครัฐที่ลดลงถึง 8 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 32 สะท้อนชัดเจนว่าประเทศกำลังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งศักยภาพ
ปัญหาฝังลึก 5 ด้าน โครงสร้างบิดเบี้ยว
ปัญหาหลักที่ฝังลึกมีอย่างน้อย 5 ด้านที่ทำให้ประเทศไม่อาจพัฒนาไปได้ไกลหากยังมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและสถาบันที่อ่อนแอ ได้แก่ 1. ระบบระเบียบกฎหมายที่มาก ล้าสมัย และไม่เอื้อต่อการแข่งขัน 2. หลักนิติธรรมที่ไม่เข้มแข็ง เพิ่มต้นทุนและความไม่แน่นอน 3. ทุจริตคอร์รัปชันที่ลดทอนความเชื่อมั่นและผลิตภาพ 4. ประชาธิปไตยที่ยังไม่มั่นคง กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและสร้างการผูกขาด 5. ประสิทธิภาพของภาครัฐที่ใหญ่ เทอะทะ มีต้นทุนสูง และขาดการบูรณาการ
“ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ ไม่อาจมองข้ามอีกต่อไป และถึงเวลาที่จำเป็นต้องยกเครื่องประเทศเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมและสร้างศักยภาพใหม่ รองรับโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดทิศทางใหม่ในการปรับปรุงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และวางรากฐานสู่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (2571-2575) ให้เป็นรูปธรรม”
เงิน 1 ล้านล้านต่อปีไม่พอขับเคลื่อนประเทศ
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวย้ำว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนในการ "ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย" มิฉะนั้นประเทศจะเดินหน้าต่อลำบาก เห็นได้จากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 (2566-2570) มี 5 เป้าหมายหลักและ 13 หมุดหมาย โดยมีการใช้จ่ายงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนแผนฯ เฉลี่ยกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี แต่ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามคาด โดยรายได้ประชาชาติต่อหัวปัจจุบันอยู่ที่ 7,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังห่างจากเป้าหมายปี 2570 ที่ 9,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ดัชนีความก้าวหน้าของคนถอยหลังลงจากปี 2565 ด้านความเหลื่อมล้ำพบว่าสัดส่วนความแตกต่างของรายจ่ายระหว่างกลุ่มรายได้สูงสุด 10% กับกลุ่มรายได้ต่ำสุด 40% อยู่ที่ 5.22 เท่า แม้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ต้องการให้ต่ำกว่า 5 เท่า แต่แนวโน้มช่องว่างรายได้กลับกว้างขึ้น ปัจจุบันกลุ่มรวยสุด 10% มีรายได้มากกว่ากลุ่มจนสุด 10% ถึง 10 เท่า
“โดยการจัดสรรงบประมาณลงไปรวม 3 ปี ตั้งแต่ปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนโครงการและแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 กว่า 9,132 โครงการ รวมเป็นวงเงินกว่า 3.37 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาท แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ กว่า 50% ถูกใช้ไปกับงานประจำ ขาดการลงทุนในเรื่องใหม่ ๆ ที่จะสร้างอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงขึ้นและเพิ่มผลิตภาพ”
ทางออกต้องกล้าเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ทางออกคือการกล้าที่จะเปลี่ยน สร้างความเชื่อมั่น และความรับผิดชอบ เพราะหากไม่ปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงเรื่อย ๆ และประโยชน์จากการพัฒนาจะกระจุกตัว สศช. ยอมรับว่ายังไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่ต้องการใช้เวทีนี้กำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรม การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัย 5 เรื่อง คือ 1. ความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะทำเรื่องนั้นจริง ๆ 2. ลงมือทำร่วมกัน ไม่ใช่ทำคนเดียว และช่วยกันกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3. ออกแบบสถาบันและกติกาใหม่ ๆ 4. เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องฉุกเฉิน ทำทันที 5. กล้าที่จะเปลี่ยนเพื่อให้ได้ประเทศไทยในฝันกลับมา
ระบบราชการตัวถ่วงประเทศ
ขณะที่ นายวิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการไทย อยู่ที่ระบบไม่ใช่ตัวบุคคล แม้ข้าราชการจะทำงานหนักขึ้น แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ทำให้ระบบราชการกลายเป็นตัวถ่วงของประเทศในหลายมิติ ประกอบด้วย 1. ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจกลายเป็นต้นทุนที่ถ่วงผลิตภาพของภาคเอกชนและต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชน 2. ปรับตัวไม่ทันโลก ภาครัฐไม่สามารถเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือรับมือกับโจทย์อนาคตได้ 3. แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้ผล 4. ภูมิคุ้มกันประเทศต่ำลง ภูมิคุ้มกันทางการคลังและเศรษฐกิจของประเทศลดลง สะท้อนจากการปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
“ความพยายามปฏิรูปที่ผ่านมาไม่สำเร็จ เพราะเป็นเพียงการทำให้ทันสมัย แต่ไม่ใช่การพลิกโฉม ปัญหาหลัก ๆ คือ การแตกหน่วยงานย่อย ๆ ที่ทำงานซ้ำซ้อนและไม่บูรณาการ การยึดติดกับกฎหมายเก่าที่ไม่ทันสมัย และวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นพิธีกรรม ระบบอุปถัมภ์ และข้าราชการไม่กล้ารับความเสี่ยง สิ่งที่ค่อย ๆ หายไปจากระบบราชการคือ ความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข การที่ประเทศโตต่ำกว่าศักยภาพ ส่วนหนึ่งเพราะต้องสูญเสียทรัพยากรไปกับกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ”


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ