
นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในงานEconmass Talk ในหัวข้อ “อุตสาหกรรมพลาสติกไทยได้หรือเสีย...จากภาษีทรัมป์” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจและส.อ.ท. ว่า ได้เตรียมนำข้อเสนอแนะให้รัฐบาล เพื่อขอให้ช่วยเหลือ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสหรัฐฯ และมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะการนำประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวกำหนด ใน 4 ประเด็นหลักดังนี้ 1. ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน 2. ปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษี ช่วยลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก 3. ปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาดเพื่อรักษาความเป็นธรรมในการแข่งขัน และ 4. สร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน ของพลาสติกครบวงจร
“แม้ว่าไทยต้องเผชิญแรงกดดัน จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ยังคงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สำคัญของภูมิภาค”
นายเดชาธร ฐิสิฐสกร คณะทำงานสายเศรษฐกิจและการค้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ส.อ.ท. กล่าวว่า สถานการณ์การค้าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และต้องเผชิญปัญหาความท้าทายเช่นเดียวกัน รวมถึงไทยด้วย ซึ่งสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19% ซึ่งไม่นับรวมอัตราภาษีเดิมอีก 5% เมื่อรวมแล้วสินค้าส่งไปจำหน่ายในสหรัฐฯ จะเสียภาษีในอัตรา 24% ขณะที่สินค้าพลาสติกและปิโตรเคมีประเทศคู่แข่งของไทย อัตราภาษีต่ำกว่าไทย ดังนั้น ไทยต้องเร่งปรับตัว ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม รวมถึงหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ด้วย
นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคมพีพีพี พลาสติก กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจคัดแยกและกำจัดขยะ แล้วนำมารีไซเคิลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ถือเป็นโอกาสทำเงินได้ เนื่องจากปัจจุบันปริมาณขยะมีมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี แต่การกำจัดขยะ แล้วนำมารีไซเคิลอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายมีเพียง 50,000 ตันต่อปี