
น.ส.วชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments : BOP) ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับปรุงตามรอบการปรับปรุงปกติในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม จากการปรับปรุงดังกล่าว ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions : NEO) หรือเงินที่ไม่ทราบแหล่งที่มา ปี 2567 อยู่ที่ 7,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 230,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 15,200 ล้านเหรียญฯ
จาก 3 ส่วนหลัก คือ 1.มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2,000 ล้านเหรียญฯ
2.ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไป 2,700 ล้านเหรียญฯ 3.ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4,200 ล้านเหรียญฯ
ยกเคสในต่างประเทศก็เกิดขึ้น
“NEO ที่คลาดเคลื่อนสูงเป็นความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้เหมือนต่างประเทศ ซึ่งอาจไม่ได้เกี่ยวกับเงินสีเทาทั้งหมด แต่เป็นวิธีการวัด หรือพฤติกรรมการค้า เทรดเครดิตเปลี่ยนไป ธปท.อยู่ระหว่างศึกษาปรับให้แม่นยำมากขึ้น เพราะตอนนี้ NEO อาจจะยังไม่ได้สะท้อนความเทาได้มากเท่าที่ควร ตอนนี้การเก็บข้อมูลเราอาจเก็บไม่ได้ทุกเม็ด หรือเก็บได้ไม่หมด ทำให้อาจจะเป็นเทาหรือไม่เทาก็ได้ แต่ก็ยอมรับว่ามีส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา”
แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในเรื่องนี้เป็นแค่ธุรกรรมที่เราเห็นว่ากระจายไปในกิจกรรมไม่ชัด เช่น ฝรั่งเข้ามาซื้อหมูปิ้ง แบบนี้ก็หลุดแล้ว หรืออีกกรณีที่เห็นบริษัทที่อาจมีกรรมการหนึ่งท่านมีธุรกิจสีเทา เอาเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จะผ่านหรือไม่ผ่านตัวกลาง เงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย มันจะถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน ซึ่งมันก็อาจจะเทาได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า NEO ไม่ได้สูงเกินไป หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต และเทียบกับประเทศที่มีสัดส่วนการค้าที่อยู่ในระดับสูง จึงไม่ได้เป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทของปี 2568
หนุนซื้อขายทองคำเป็นดอลลาร์
น.ส.วชญาวดี กล่าวถึงการหารือกับร้านทองว่า ที่ผ่านมาธปท.หารือกับร้านทองอย่างเข้มข้นขึ้น และกังวลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ดังนั้น สิ่งที่หารือเพื่อหวังว่าจะไม่ให้ราคาทองซ้ำเติมค่าเงินบาทได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหลายมาตรการ ทั้งการสนับสนุนการซื้อขายทองคำให้เป็นดอลลาร์ โดยปัจจุบันมีต้นทุนสูง ซึ่งอาจจะต้องดูแลให้ต้นทุนต่ำลง เพื่อให้คนย้ายไปเทรดเป็นดอลลาร์ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก ขณะที่มาตรการภาษี ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่คุยกัน และหากรุนแรงขึ้นมากก็ต้องพิจารณา แต่ยืนยันว่า มีหลายมาตรการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบและผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต้องมาดูข้อมูลว่า ทำแล้วแก้บาทแข็งหรือไม่
ยันไม่ใช่ปัจจัยทำเงินบาทแข็ง
น.ส.ภาวินี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยืนยันว่า NEO ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทปัจจุบันแข็งค่า โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากการอ่อนค่าของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยเงินบาทแข็งค่าจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าแล้ว 10%
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง ค่าเงินบาทอาจแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่น โดยปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากปัจจัยเฉพาะ โดยมี 3 ปัจจัย คือ 1.ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดดีกว่าที่คาด 2.สถานการณ์การเมืองในประเทศที่คลี่คลาย มีเสถียรภาพได้เร็ว 3.ราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมการซื้อขายทองคำที่คนไทยนิยมลงทุนในทองคำ และเมื่อราคาขึ้น จึงมีการขายเพื่อเก็งกำไร โดยปีนี้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เป็นแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างการหารือว่าจะมีมาตรการอะไรที่จะดำเนินการได้เพิ่มเติม ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าจะมีการหารือกับร้านทองอีกครั้งเกี่ยวกับความคืบหน้าของการร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องค่าเงินบาท