
ความอลหม่านที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย จนถูกสื่อมวลชนกระแสหลักจับมาขยายผลต่อ กรณีที่ประชาชนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งพ่อค้า-แม่ขาย เปิดเผยความเดือดร้อนจากการถูกระงับไปจนถึงอายัดบัญชีธนาคาร รวมทั้งธุรกรรมการเงินโดยไม่ทราบสาเหตุและที่มาที่ไป นำไปสู่การไม่รับชำระเงินผ่านโมบายแบงกิ้งของร้านค้าจำนวนไม่น้อย เพราะเกรงว่าจะนำเงินออกมาจากบัญชีไม่ได้ เลยเถิดไปถึงขั้นแห่กันไปถอนเงินจากธนาคารนั้น
แม้จะบรรเทาเบาบางลง ด้วยความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้น ถึงเหตุและผลต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้น อันเป็นไปตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2568 มีเป้าหมายสำคัญเพื่อหยุดยั้งเส้นทางเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงประชาชนให้ได้มากที่สุด เพื่อนำเงินกลับคืนสู่เจ้าของ
ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกลายเป็นปัญหาระดับชาติตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงผ่านแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆนานา ข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 มี.ค.2565–31 ส.ค.2568 จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้แจ้งความแล้วทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายกว่า 98,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันจากการแก้กฎหมายให้รัดกุม เท่าทัน รวมทั้งบังคับใช้อย่างเคร่งครัด มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถปิดบัญชีม้าหรือบัญชีที่ถูกใช้เป็นเส้นทางเงินสกปรกไปแล้ว 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งมีส่วนทำให้ความเสียหายของเหยื่อที่ถูกหลอกโอนเงินให้มิจฉาชีพลดลงจาก 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปี 2568
กระนั้นมาตรการที่เห็นผลไม่เพียงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน แต่กลับไปกระทบกับผู้คนบางส่วนที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเลยแม้แต่น้อย
ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 14 ก.ย.-เวลา 15.00 น. ของวันที่ 19 ก.ย.2568 ยืนยันตัวเลขสายที่โทร.เข้ามาร้องเรียนเรื่องการถูกระงับธุรกรรมธนาคารชั่วคราว และเมื่อตรวจสอบเส้นทางเงิน พบไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทำให้ได้รับการเพิกถอนการระงับธุรกรรมมี 336 สาย คิดเป็น 3.3% ของสายที่โทร.เข้ามา 10,157 สาย โดยมีสายไม่ยอมให้ข้อมูลเพื่อการตรวจสอบในรายละเอียด 6,010 สาย หรือ 59.17% ขณะที่สายให้ข้อมูลเพื่อหวังให้มีการเพิกถอน แต่เพิกถอนให้ไม่ได้ เนื่องจากเส้นทางเงินบ่งชี้เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าและแก๊งอาชญากรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีจำนวน 4,147 สาย หรือ 40.83%
แม้ตัวเลขของผู้เดือดร้อนที่พิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการผิดกฎหมาย จะอยู่ในสัดส่วนที่น้อยมากระดับ 3% แต่สุจริตชนที่ได้รับผลกระทบต่อมาตรการนี้ จำเป็นต้องได้รับการบรรเทาและแก้ไขปัญหาให้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ย้อนกลับไปในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา อาชญากรทางเทคโนโลยีทวีความร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ อาศัยความนิยมในโซเชียลมีเดีย โมบายแบงกิ้งในประเทศไทย เพราะความสะดวกสบายมีค่าใช้จ่ายที่ตามมาเสมอ
ความเสียหายสะสมที่เกิดกับประชาชนเกือบ 100,000 ล้านบาท คือปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข นำไปสู่การออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้วันที่ 17 มี.ค.2566 มีสาระสำคัญ คือการระงับการทำธุรกรรมเมื่อได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย, การเพิ่มบทลงโทษ สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าและซิมม้า และการกำหนดให้หน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. สั่งให้มีการจัดระเบียบลงทะเบียนซิมมือถือใหม่ทั้งหมด เพื่อสกัดซิมม้าที่ใช้โทร.หลอกประชาชน, รื้อระบบลงทะเบียนผู้ส่งเอสเอ็มเอส, ห้ามส่งลิงก์แนบเอสเอ็มเอส ขณะที่กระทรวงดีอีได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC 1441) เป็นศูนย์กลางรับแจ้งเหตุแบบครบวงจร
ส่วนสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้สั่งการให้ยกระดับความปลอดภัยของโมบายแอปพลิเคชัน เช่น ต้องแจ้งเตือนผู้ใช้บริการก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง, กำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวัน ให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของเจ้าของบัญชีกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท
บังคับใช้ไปได้ปีเศษ ปัญหาภัยการเงินและการถูกหลอกลวงของประชาชนยังไม่ลดลง ในทางตรงกันข้าม การต่อเส้นเงินของมิจฉาชีพมีความยากลำบากขึ้น เมื่อเส้นเงินถูกส่งต่อไปยังบัญชีที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล, อี–มันนี่, คริปโตเคอเรนซี เงินหายออกนอกประเทศไปอย่างไร้ร่องรอย
อธิบายวิธีต่อเส้นเงินที่มิจฉาชีพหลอกลวงผู้เสียหายได้ว่า ตามสถิติพบแม้จะมีการเปิดให้แจ้งความออนไลน์ได้แล้ว แต่เวลาเฉลี่ยจากการโอนเงินไปครั้งสุดท้าย จนถึงเวลาที่ผู้เสียหายจะมาแจ้งความกินเวลาประมาณ 18 ชั่วโมง ขณะที่บัญชีม้าแถวแรกใช้เวลาโอนเงินเพียง 2 นาที และยังพบว่าจากผู้โดนหลอก 100% มีเพียง 10% เท่านั้นที่มาแจ้งความ อีก 10% แจ้งธนาคารแต่ไม่แจ้งความ ส่วนที่เหลือ 80% ไม่ทำอะไรเลย
แต่กฎหมายที่เข้มแข็งขึ้น ทำให้พฤติกรรมของอาชญากรเปลี่ยนไป ช่วงกลางปี 2567 พบว่าบัญชีม้าแถวที่ 1 มีอายุลดลงจากเดิม จากที่เก็บเงินที่หลอกลวงไว้ประมาณ 3 วัน เหลือประมาณ 10 ชั่วโมง เพราะกฎหมายตามไล่ล่า โดยบัญชีม้าเปลี่ยนพฤติกรรม แยกเงินเป็นจำนวนย่อยๆแทนการโอนเงินทั้งก้อนที่หลอกมาได้ พบวิธีการตั้งแต่โอนเงินให้เหยื่อแล้วขอให้โอนเงินกลับ, ถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มบางสาขา และนำเงินบางส่วนไปซื้อสินค้า เพื่อให้ตามต่อเส้นเงินบัญชีม้าได้ยากขึ้น สร้างความสับสนมากขึ้น ดึงประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
กระทรวงดีอีจึงเสนอแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ทำให้ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือ ติดตามเส้นทางเพื่อนำเงินมาคืนได้เร็วขึ้น, กำหนดให้หน่วยงานเอกชน ทั้งค่ายมือถือ ธนาคาร โซเชียลมีเดีย มีส่วนร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น หากพบไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ
พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2568 มุ่งเน้น 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ 1.การเชื่อมโยงข้อมูลโดยเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบ Central Fraud Registry (CFR) และระบบอื่น ที่สามารถแลกเปลี่ยนเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อรองรับการอายัด เพิกถอนบัญชี เลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล การใช้บริการโทรคมนาคมและการจัดการข้อมูล 2.การกำหนดมาตรฐาน หรือมาตรการเพื่อการป้องกัน 3.การสั่งระงับการแพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมายออกจากระบบ กรณีไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 4.การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ศปอท. เพื่อยกระดับการทำงาน 5.การคืนเงินผู้เสียหาย โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
หลัง พ.ร.ก.ฉบับที่ 2 บังคับใช้มาตั้งแต่เดือน เม.ย.2568 ประกอบกับการยกระดับมาตรการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติมและผลักดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบของ ธปท. จากระดับบัญชีเป็นระดับบุคคล ซึ่งหมายถึงการอายัดทุกบัญชีของบุคคลที่เข้าข่ายบัญชีม้า ไม่ใช่อายัดเฉพาะบัญชีม้าเท่านั้น เริ่มในช่วงปลายเดือน ม.ค.2568 ช่วยให้บัญชีม้าถูกระงับเป็นจำนวนมากและเปิดใหม่ได้ยากขึ้น
พ.ร.ก.ใหม่ กำหนดให้เมื่อธนาคารได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่ามีการทำธุรกรรมโดยบัญชีแบงก์ที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ธนาคารระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ชั่วคราว นำข้อมูลเข้าสู่ระบบเพื่อการแลกเปลี่ยนให้ธนาคาร, ผู้ประกอบธุรกิจ, ผู้รับโอนทุกทอดทราบและระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ทันที โดยผู้เสียหายต้องแจ้งความภายใน 3 วัน ซึ่งในขั้นตอนนี้ถือเป็นส่วนสำคัญเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้เหยื่อมีโอกาสได้รับคืนเงิน โดยมีระยะเวลาการระงับธุรกรรมเป็นการชั่วคราว 7 วัน หากผู้เสียหายไม่แจ้งความ ธนาคารหรือผู้ประกอบธุรกิจต้องยกเลิกการระงับธุรกรรมนั้น
เมื่อบัญชีม้าถูกบีบทุกวิถีทาง รวมทั้งถูกสกัดเส้นทางแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งทำให้ยากต่อการติดตามเงินคืน ทำให้บัญชีม้าเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่หลบซ่อน กลายเป็นใช้เป็นช่องทางโอนเงินซื้อสินค้าและบริการ ดึงประชาชนทั่วไปเข้ามาเกี่ยวข้องกับเส้นทางเงิน หวังให้เกิดความเดือดร้อนที่เสียงดัง
ต่อกรณีที่ประชาชนทั่วไปติดร่างแหถูกระงับธุรกรรมการเงินชั่วคราวนั้น นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี อธิบายว่า หากเป็นการดำเนินงานภายใต้ AOC กรณีมีการโทร.เข้ามาร้องเรียนและให้ข้อมูลว่าถูกหลอกลวง จะมีการตรวจสอบเส้นทางเงินและระงับเฉพาะธุรกรรมนั้นๆไม่ใช่ระงับหรืออายัดบัญชีแบงก์ โดยปกติระงับได้ 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะใช้ตรวจสอบเส้นทางเงินโดยละเอียด หากพบเป็นการกลั่นแกล้ง หรือแจ้งความเท็จจะปลดล็อกธุรกรรมดังกล่าวให้ แต่หากพบพฤติกรรมเป็นบัญชีม้าซึ่งธนาคารมีการตรวจสอบเส้นทางเงินได้โดยละเอียดอยู่แล้ว ก็จะหยุดเงินก้อนดังกล่าวเอาไว้ เพื่อนำไปคืนผู้เสียหายต่อไป
ส่วนกรณีที่บัญชีธนาคารถูกอายัดทั้งบัญชีและทุกบัญชี ไม่สามารถใช้งานได้ ประเมินได้ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นบัญชีม้าซึ่งถูกอายัดโดยตำรวจภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรืออาจถูกอายัดโดย ปปง. การปลดอายัดจะมีกระบวนการที่ต่างออกไป
“ยืนยันว่า พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2568 ถูกปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ตรงจุดและทันท่วงทีมากขึ้น เราไม่สามารถปล่อยให้เงินที่ประชาชนถูกฉ้อโกงหลายหมื่นล้านบาทหายไปในพริบตา ปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติที่เกิดขึ้น สามารถแก้ไขได้”
ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ธปท.ได้ให้ปลดการระงับธุรกรรมให้เร็วขึ้น แล้วแต่กรณี โดยธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบที่ได้รับจาก ศปอท.โดยเร็วที่สุด ไม่เกินกว่า 2 ชั่วโมง (วันละ 3 รอบ) เพื่อส่งกลับให้ ศปอท.ประมวลผล (ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) กรณีเป็นบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผิดกฎหมาย สามารถปลดการระงับธุรกรรมได้เร็วที่สุด 4 ชั่วโมง และช้าที่สุดไม่เกิน 1 วัน ขณะเดียวกันผู้ถูกระงับธุรกรรมจะได้รับการแจ้งจากธนาคารเพื่อความชัดเจนถึงลักษณะของการถูกระงับและสิ่งที่ต้องทำต่อ และทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้นในทุกธนาคาร
และกำลังเร่งปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยจะกำหนดให้มีการพิจารณาพฤติกรรมการโอนเงินไปยังร้านค้าเพื่อชำระค่าสินค้า หรือการโอนเงินที่มีมูลค่าน้อยให้ละเอียดมากขึ้น
นายวิศิษฏ์กล่าวสรุปว่า สถานการณ์ที่เกิดมีขึ้นมองในแง่ดีเป็นการกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐ ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อมาตรการที่คุมเข้ม ทำให้ประชาชนทั่วไปผู้สุจริตได้รับผลกระทบ โดยจะต้องทำงานตรวจสอบให้รวดเร็ว แต่เส้นทางเงินคือรอยเท้าทางดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ สะท้อนพฤติกรรมและเจตนาที่ชัดเจน
การรับมือกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงคือความท้าทายและโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ของหน่วยงานภาครัฐตราบเท่าที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คน.
ทีมเศรษฐกิจ