เปิดใจ 5 ปี ผู้ว่าธปท.ก่อนอำลาตำแหน่ง ฝากการบ้านฟื้นเศรษฐกิจ-ดูแลระบบการเงินไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดใจ 5 ปี ผู้ว่าธปท.ก่อนอำลาตำแหน่ง ฝากการบ้านฟื้นเศรษฐกิจ-ดูแลระบบการเงินไทย

Date Time: 17 ก.ย. 2568 07:30 น.

Summary

เปิดใจการดำเนินนโยบายการเงิน -สถาบันการเงิน 5 ปีในดำแหน่งผู้ว่าการธปท.ของ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวามนฤพุฒิ"ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจซ้ำซ้อน เชื่อมั่นเศรษฐกิจการเงินไทยเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “ผู้ว่าพบสื่อมวลชน” ซึ่งถือเป็นช่วงส่งท้ายอำลาการครบกำหนดการดำรงตำแหน่ง 5 ปีของการทำงานในฐานะผู้ว่าการธปท.ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ว่า “วันแรกที่เข้ามาทำงาน ก็เจอช่วงวิกฤตโควิด 19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักมาก นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีีดีพี) ลดลงจาก 40 ล้านคนเหลือเกือบศูนย์ แรงงานอาชีพอิสระถูกกระทบด้านรายได้อย่างรุนแรง และการขยายตัวของเศรษฐกิจหดตัวมากที่สุดในรอบ 22 ปี ติดลบ 6%”

.ย้อนรอย 5 ปีนโยบายการเงินใน “วิกฤติซ้อนวิกฤติ”

 การทำนโยบายการเงิน จึงต้องทำอย่างเต็มที่แบบปูพรมทั้งหมด ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 0.5% มีการประกาศพักหนี้ชั่วคราว  ขณะที่หลังจากนั้น เมื่อโควิดเริ่มหายไป แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากวิกฤตโควิดกว่าคนอื่น จนถึงขณะนี้เรายังฟื้นตัวไม่เท่าประเทศอื่น เพราะเราถูกกระทบหนัก ดังนั้น สิิ่งที่ ธปท.ทำคือ การเร่งรักษาลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ การออกแบบโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยสภาพคล่องของเอสเอ็มอี และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจรักษาสินทรัพย์ และธุรกิจไว้ได้

ต่อจากนั้น เรามาเจออีกวิกฤตหนึ่งต่อเนื่อง คือ วิกฤตเงินเฟ้อสูง ที่มาจากผลกระทบของสงครามยูเครน และรัสเซีย ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยพุ่งสูงสุดในภูมิภาคที่ประมาณ 7-8% ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะนี้ ธปท.ได้รับคำเตือนจากหลายๆ แหล่งทั้งในและต่างประเทศว่า เราขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าไป แต่ ธปท.ได้ประเมินเศรษฐกิจไทย ซึ่งพบว่า ฟื้นตัวแทบจะช้าที่สุดในโลก ทำให้ไม่ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ    

"แม้จำเป็นต้องเหยียบเบรคเงินเฟ้อสูงเอาไว้ แต่ในขณะนี้เราไม่ได้เหยียบเบรคแรงเหมือนธนาคารกลางในต่างประเทศ เราค่อยๆ ถอนคันเร่งลดความเร็วของเครื่องยนต์ เพื่อเข้าสู่จุดสมดุลที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเอื้อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และดูแลเสถียรภาพ โดยดอกเบี้ยนโยบายกลับขึ้นไปอยู่ที่ 2.5% ซึ่งหากมองย้อนกลับไปถือเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม โดยเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบได้ภายใน 7 เดือน และเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.6% ในปี 2565”


.ไม่ได้ “หัวสี่เหลี่ยม” ธปท.ปรับตามสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงพบกับความท้าทายเพิ่มเติมจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น "พายุลูกใหญ่" ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทย ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ธปท. จึงปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้ง สู่ระดับ 1.5% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก เพื่อช่วยผ่อนคลายภาระให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เปราะบาง 

ขณะเดียวกัน มาตรการที่ทำควบคู่มาตลอด คือ ความพยายามในการมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน (RL) เป็นมาตรการด้านสถาบันการเงิน ที่เน้นการปรับโครงสร้างหนี้ และการปล่อยสินเชื่อที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่รายได้ประชาชนฟื้นช้า และกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งช่วยลูกหนี้ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ได้มากกว่า 2.5 ล้านราย วงเงินสินเชื่อ 1.5 ล้านล้านบาท 

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยมีลมต้านอยู่ต่อเนื่อง ขณะที่มีพายุซ้ำเติมจากผลกระทบ 19% ทรัมป์ นอกเหนือจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ทำออกมา ธปท.ยังออกโครงการคุณสู้เราช่วย มาเพิ่มเติม และขอยืนยันว่า การออกเกณฑ์ของธปท ไม่ได้ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยกู้ หรือปล่อยกู้น้อยลง นโยบายขอ ธปท.สะท้อนความผสมผสาน ไม่ได้ใช้นโยบายการเงิน หรือสถาบันการเงินอย่างเดียว เพราะบางทีดอกดเบี้ยเป็นนโยบายที่กระทบในวงกว้าง ซึ่งใช้ไม่ได้ตรงจุดจึงต้องใช้การปรับโครงสร้างหนี้และการให้สินเชื่อผ่อนปรนเพื่อรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจ

 “ที่ผ่านมาใครว่า เราดื้อ เราไม่ปรับตัว  จริงๆ แล้วเราพยายามปรับตัวไปให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในเวลาต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเน้นด้านใดด้านหนึ่ง ดอกเบี้ยต้องสูงอย่างเดียว แต่พยายามให้ยืดหยุ่น เราไม่ได้หัวเหลี่ยมขนาดนั้น และการออกมาตรการออกมาราก็ไม่ได้ยึดตืด หากไม่ได้ผลเต็มที่ เราก็ปรับมาตรการให้ตอบโจทย์เสมอ”


.ชงรัฐกระตุ้นสั้นและแก้เชิงโครงสร้างยาว

สำหรับอนาคตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนของเศรษรฐกิจจำเป็นต้องใช้นโยบายระยะสั้น ในการฟื้นความมั่นใจและการใช้จ่าย แต่จริงๆ หากมองกราฟการขยายตัวของไทยกลับไปตั้งแต่ปี 2540 จะเห็นว่าเรามีปัญหาเชิงโครงสร้างซ่อนตัวอยู่ และเป็นปัญหาโรคเรื้อรัง ดังนั้น หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยโต ก็ต้องดูความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยในขณะนี้ สัดส่วนของการดึงดูดการลงทุนของไทยต่ำลงมากจากช่วงก่อนหน้าต่ำกว่าอินโดนิเซีย และมาเลเซีย 

"การใช้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลระยะสั้น แต่การโตอย่างยั่งยืนจะต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่เช่นนั้น การขยายตัวของประเทศก็จะโตช้าๆ และซึมยาวไปต่อเนื่อง ที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมมองปัญหาความเหลือมล้ำซึ่งจะกระทบต่อความหวังของผู้คน หากมองว่าการบริหารเศรษฐกิจไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้น ปัญหาอย่างที่เกิดในเนปาล อินโดนิเซีย หรือศรีลังกา อาจเกิดขึ้นได้ และในไทยความเหลื่อมล้ำยังคสูงมาก โดยจากครัวเรือนทั้งประเทศ 24 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนกลุ่มคนรวย 240,000 ครัวเรือนด้านบน มีสินทรัพย์เท่ากับ 13 ล้านครัวเรือนที่มีฐานะยากจน”

สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะอยู่ประมาณ 2% ส่วนปีหน้าคิดว่า อาจจะกว่าประมาณการได้ เพราะหากรัฐบาลอยู่เพียง 4 เดือนอาจจะทำงบประมาณปี 70 ไม่ทัน และอีกเรื่องเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ การมีช็อกอื่นจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมา แต่เรามีงบประมาณ หรือกระสุนน้อยลงมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ


.ฝากการบ้านธปท.สานต่อ 3 เรื่อง

ขณะที่การบ้านในส่วนของนโยบายการเงินในระยะต่อไป การเร่งกระบวนการแก้หนี้ครัวเรือนจะต้องทำต่อ การปรับโครงสร้างหนี้ก็ต้องทำต่อ แต่ที่สำคัญ การแก้หนี้ให้ยั่งยืนจะต้องทำควบคู่กับการเพิ่มรายได้ของประชาชน เพราะหากวันนี้ เราสามารถเสกหนี้เก่าของคนไทยให้หมดไปได้ แต่ในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ เขาก็ต้องกู้มาอีก เพราะรายได้เขาไม่พอรายจ่าย ขณะเดียวกันก็เป็นห่วง เอสเอ็มอีที่หาสภาพคล่องยาก ที่ผ่านมาสินเชื่อเอสเอ็มอี ลดลง 6% ปัญหามาจากความเสี่ยงของเอสเอ็มอีที่เพิ่มขึ้น  กระบวนการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี จึงเป็นอีกการบ้านที่ฝากไว้

อีกประเด็นที่เป็นการบ้าน คือโครงการ your data ที่หวังว่าจะได้เห็นการออกมาตรการเพื่อช่วยให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อได้หลากหลายมากขึ้น และสุดท้ายคือ การปรับการคิดดอกเบี้ยของการให้สินเชื่อสะท้อนตามความเสี่ยง ซึ่งจะสามารถดึงคนที่กู้นอกระบบเข้ามากู้ในระบบได้ และเรื่องสุดท้ายคือ การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน 

ท้ายที่สุด ที่อยากฝากไว้คือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิตควรจะดูเชิงโครงสร้าง และระยะยาวไปกับมาตรการระยะสั้น แน่นอนว่า“ดอกเบี้ยจะขึ้น จะลง” เป็นเรื่องสำคัญแต่การทำโครงสร้่างพื้นฐานระยะยาวของระบบการเงินก็จำเป็นต้องทำเช่นกัน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพระบบการเเงิน และต่อเนื่องถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ