
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ตัวเลขล่าสุดจากครึ่งปีแรกของปี 2568 (อ้างอิงข้อมูล บมจ.อนันดา) ชี้ให้เห็นถึงยอดขายที่ ลดลงอย่างรุนแรงถึง 26% ในเชิงมูลค่า (จาก 1.63 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท) และ 25% ในเชิงจำนวนยูนิต (จาก 29,557 ยูติต มาอยู่ที่ 22,058 ยูนิต) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่ผ่านมา
การลดลงอย่างมีนัยนี้ ไม่ใช่แค่การชะลอตัวตามวัฏจักร แต่เป็นสัญญาณของภาวะน่ากังวลที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างแท้จริง
เมื่อเจาะลึกไปที่ข้อมูลรายไตรมาส สถานการณ์ยิ่งน่ากังวลมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะยอดขายใน ไตรมาส 2/2568 ที่ลดลงถึง 29% ในเชิงจำนวนยูนิต เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตัวเลขนี้สะท้อนว่าในระยะเวลาเพียง 3 เดือน จำนวนบ้าน - คอนโดมิเนียม ที่ขายได้ลดลงเกือบหนึ่งในสาม และหากดูจากประเภทสินค้า ยอดขายคอนโดฯ ในเชิงมูลค่าลดลงมากที่สุดถึง 53% จากไตรมาสก่อนหน้า
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงนี้ ทำให้ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างเร่งด่วน
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล” เพื่อขอเข้าหารือและนำเสนอมาตรการสำคัญที่จะสามารถช่วยฟื้นฟูตลาดอสังหาฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้
ซึ่งหากวิเคราะห์ถึ ปัญหาวิกฤติของตลาดอสังหาฯ จะพบได้ว่า เกิดขึ้นจากปัจจัยหลักหลายประการที่เกี่ยวพันกัน ได้แก่
Thairath Money เจาะข้อเสนอของ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่ยื่นต่อรัฐบาลใหม่นั้น แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะแก้ปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างตรงจุดมากขึ้น โดยข้อเสนอเหล่านี้ อาจไม่ได้มุ่งเน้นแค่การช่วยเหลือภาคธุรกิจอสังหาฯ แต่ยังมุ่งเป้าไปที่การลดภาระและเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนโดยรวม ดังนี้
1. การยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองในทุกระดับราคา
มาตรการนี้ถือเป็น "ยาแรง" ตามที่ 3 สมาคมฯ ได้ระบุไว้ เพราะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้นอย่างทันทีทันใด การลดค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบ้านราคาสูง ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นผู้ซื้อเพื่อการลงทุนหรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง จะช่วยปลดล็อกการตัดสินใจซื้อที่ถูกชะลอไว้ได้ นอกจากนี้ การขยายเพดานราคาให้ครอบคลุมทุกระดับจะช่วยระบายสต็อกบ้านคงค้างในตลาดได้ในวงกว้าง ไม่จำกัดแค่บ้านราคาถูกหรือปานกลางเท่านั้น
2. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ข้อเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถือเป็นการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุด เพราะดอกเบี้ยคือ ต้นทุนทางการเงิน ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อบ้านโดยตรง หากดอกเบี้ยลดลง ยอดผ่อนชำระต่อเดือนจะลดลงตามไปด้วย ทำให้ผู้กู้มีความสามารถในการผ่อนชำระมากขึ้น และทำให้คนที่มีรายได้จำกัดสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
จะเห็นได้ว่า ข้อเสนอทั้งสองประการของ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์เป็นการทำงานร่วมกันของมาตรการระยะสั้น (ยกเว้นค่าธรรมเนียม) และมาตรการระยะยาว (ลดดอกเบี้ย) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างแรงจูงใจในการซื้อ และ ลดภาระทางการเงิน ของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการแก้ไขวิกฤติของมาตรการเหล่านี้ จะขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของภาครัฐและสถาบันการเงิน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจในอนาคตด้วย
สุดท้ายอาจกล่าวได้ว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เรื่องของคนวงในธุรกิจเท่านั้น แต่คือ เครื่องสะท้อนสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยตรง การที่ตัวเลขยอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หมายถึงภาคครัวเรือนมีกำลังซื้อที่ลดลง ความฝันของคนจำนวนมากที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองต้องถูกพับเก็บไว้ หรือต้องแบกรับภาระหนี้สินที่สูงขึ้นในขณะที่รายได้ไม่เติบโต ขณะที่การที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอโครงการใหม่และลดการจ้างงาน ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และรายได้ของคนในประเทศ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney