เจาะลึก "ภารกิจหิน" คั่งค้างกระทรวงเศรษฐกิจ ส่งไม้ต่อ "ครม.อนุทิน" ฟื้นเศรษฐกิจ-คนไทยกินดีอยู่ดี

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เจาะลึก "ภารกิจหิน" คั่งค้างกระทรวงเศรษฐกิจ ส่งไม้ต่อ "ครม.อนุทิน" ฟื้นเศรษฐกิจ-คนไทยกินดีอยู่ดี

Date Time: 15 ก.ย. 2568 04:30 น.

Summary

“หลังพายุใหญ่ ฟ้าสดใสเสมอ” เช่นเดียวกับ “รัฐบาลใหม่” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังสร้าง “ความหวังใหม่” ให้คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะการเลือกสรรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆเข้ามาเป็น “ดรีมทีม” พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ผงกหัวขึ้นมาได้ ภายในเวลาสั้นๆของการบริหารประเทศ

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

“หลังพายุใหญ่ ฟ้าสดใสเสมอ” เช่นเดียวกับ “รัฐบาลใหม่” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังสร้าง “ความหวังใหม่” ให้คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะการเลือกสรรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆเข้ามาเป็น “ดรีมทีม” พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ผงกหัวขึ้นมาได้ ภายในเวลาสั้นๆของการบริหารประเทศ

เหมือนอย่างที่ “นายกฯหนู” ได้พูดไว้ตั้งแต่วันแรกในการฟอร์มทีมรัฐบาลว่า “รัฐบาลนี้ไม่มีช่วงฮันนีมูน ไม่มีวันหยุด วันลา จะเดินหน้าทำงานโดยเร็วที่สุด” เพราะเชื่อว่า “นายกฯคนใหม่” ของเราน่าจะรู้ดีว่าภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤติ หากประคองไว้ไม่อยู่ในเวลานี้ เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสลื่นไถลตกเหว

ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่กำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักของมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ และถูกซ้ำเติมจากค่าเงินบาทแข็ง ในขณะที่กำลังซื้อจากต่างประเทศ และเสน่ห์ที่เคยดึงดูดใจของการท่องเที่ยวไทยเริ่มน้อยลง เพราะมีสถานที่ใหม่ๆ ประเทศใหม่ๆ ที่เวอร์จิน น่าตื่นตาตื่นใจ น่าค้นหา และราคาย่อมเยากว่า มาเป็นคู่เปรียบเทียบ

ยิ่งไปกว่านั้นการสะสมของความเปราะบางทางการเงินของคนไทยกลุ่มรายย่อย เอสเอ็มอี ที่กำลังลุกลามไปยังธุรกิจรายใหญ่ เป็นปัญหาที่น่าห่วงและต้องเร่งจัดการ ไม่ว่าจะเป็นสภาพคล่องที่ตึงมือ รายได้ไม่พอใช้ ขอสินเชื่อใหม่ยาก ขณะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ปัญหาหนี้เสียรุนแรงขึ้น ภายใต้สภาวะค่าครองชีพที่สูง สินค้าเกษตรราคาตก ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมถึงปัญหาเก่าแก่เชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สะสมบ่มหนองมายาวนานที่ต้องการการแก้ไข

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาแบบ “วันแมนโชว์” ให้นายกฯหนู รับหน้าเสื่อทั้งหมด หรือปล่อยให้ “คนนอก” เข้ามาเป็น “เดอะแบก” รับภาระทั้งหมด คงไม่ได้

เพราะทุกกระทรวงเศรษฐกิจ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะต้องร่วมขับเคลื่อนทุกองคาพยพ หมุนฟันเฟืองของเศรษฐกิจไทยไปพร้อมกัน ทั้งการสะสางงานค้างเก่าที่ต้องผลักดันให้สำเร็จ และการริเริ่มงานใหม่ที่จะช่วยกู้ชีพเศรษฐกิจไทยได้ ซึ่งทั้งหมดมีแนวทางที่ต้องทำอย่างไร มีงานค้างงานเก่าที่ต้องสะสางอย่างไรบ้าง

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมมาให้แล้ว…ดังนี้

สานต่อ 20 บาทตลอดสาย–แลนด์บริดจ์

เริ่มต้นจากกระทรวงคมนาคม ในฐานะกระทรวงเกรด A และผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลก่อนได้ผลักดันนโยบายเรือธง “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย”มาโดยตลอด ทั้งการเร่งรัดผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง, ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้โครงการเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งล่าสุดผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ของวุฒิสภา

เสมือนเป็น “มวยยก 4 ที่เหลือแค่ยกที่ 5” ซึ่งหากกฎหมายเหล่านี้ผ่าน และมีผลใช้บังคับได้ จะเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลชุดใหม่นำไปใช้สานต่อโครงการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ให้ประชาชนได้ใช้อย่างไร้รอยต่อ

ส่วนโครงการที่หากไม่พูดถึงคงไม่ได้ โดยเฉพาะ “โครงการก่อสร้างถนนพระราม 2 และโครงการทางด่วนพิเศษระหว่างเมือง M82” ที่ รมว.คมนาคมคนใหม่ควรเร่งรัดให้เสร็จตามกำหนดภายในสิ้นปีนี้ เพราะเส้นทางพระราม 2 ที่ก่อสร้างเป็นทางยกระดับ จะเป็นเส้นทางสำคัญช่วยแก้ปัญหาจราจรติดขัด และเป็นเส้นทางหลักมุ่งสู่ภาคใต้

นอกจากนั้น ยังต้องเร่งผลักดัน แก้ไข จัดทำร่าง พ.ร.บ.ระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่ง พ.ร.บ.นี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะผลักดันให้เกิด โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย และอันดามัน หรือ “แลนด์บริดจ์” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน ที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำผลักดัน โดยล่าสุด ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ กำลังเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในลำดับต่อไป

หากโครงการต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง ประชาชนและประเทศได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด พรรคการเมืองใดเป็นผู้ริเริ่มก็ตาม จะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนแน่นอน เพราะคนไทยคงไม่ติดว่าใครเป็นคนคิด แต่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นในยุคใครมากกว่า

คลังเร่งอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

กระทรวงการคลัง ถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่จะต้องออกมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตไม่น้อยกว่า 2% โดยภารกิจแรกที่ต้องเร่งดำเนินการคือ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 ที่ยังคงค้างท่อ และยังรอการอนุมัติ ซึ่งต้องเร่งทำสัญญาโครงการต่างๆก่อนวันที่ 30 ก.ย.68 เพื่อให้ใช้ทันสิ้นปีงบ 68 และมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

หากรัฐบาลต้องการใช้ “คนละครึ่ง” กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ก็ต้องเร่งอนุมัติภายในเดือน ก.ย.–ต.ค.68 เพื่อให้ใช้เงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 69 ที่มีวงเงินอยู่ 25,000 ล้านบาทได้ทันที

นอกจากนี้ ต้องเร่งคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอื่นๆ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน และพยุงเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปี ซึ่งอาจใช้กลไกสถาบันการเงินของรัฐ ช่วยอัดเม็ดเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เพื่อดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถัดมาคือ เจรจาภาษีตอบโต้สหรัฐฯ แม้สหรัฐฯกำหนดภาษีนำเข้าไทยไว้ที่ 19% แล้ว แต่กระทรวงการคลังต้องร่วมพิจารณาอัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประเด็นทางเทคนิคอื่นๆ เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า รวมถึงหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ที่ได้รับผลกระทบด้วย ขณะเดียวกัน ต้องเร่งเคลียร์ประเด็นปัญหาการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยมาตรการภาษี และภาษีบุหรี่ ที่ทำให้การจัดเก็บ ภาษีสรรพสามิตลดลง และยังมีบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่เถื่อนขายเกลื่อนเมือง หาซื้อได้ง่ายมาก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ส่วน การปรับโครงสร้างภาษี ถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ และเป็นเรื่องใหญ่ แต่ต้องเริ่มดำเนินการและต้องอนุมัติปรับโครงสร้างไว้ก่อนให้ได้ เพื่อจะได้ดำเนินการตามแผนงาน (โรดแม็ป) ที่กำหนดไว้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังทำให้รัฐมีรายได้ เพียงพอกับรายจ่าย และจัดทำงบประมาณแบบสมดุลโดยเร็ว จากปัจจุบันรัฐบาลทำงบประมาณแบบขาดดุลราว 860,000-870,000 ล้านบาท

3 โจทย์หนัก ธปท. “แก้หนี้–ดอกเบี้ย–ค่าเงิน”

สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งดำเนินการและรอการตัดสินใจ ยังคงเป็นการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับนโยบายการคลัง เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงซบเซาให้ฟื้นตัวขึ้นมา และคงกำลังการใช้จ่ายของคนไทยให้ยังไปต่อได้ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ทำให้เสถียรภาพของเศรษฐกิจระยะยาวเสียไป

โดยเรื่องแรกที่ตัดสินใจในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% ต่อปี ว่าควรจะลงอีกมากน้อยเท่าไรถึงจะเพียงพอที่จะช่วยให้ประชาชนหายใจหายคอออกกันบ้าง ขณะเดียวกันต้องใช้ประโยชน์จากกระสุนดอกเบี้ยที่มีอยู่ ให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ลดแล้วแต่ธนาคารพาณิชย์ไม่ลดตาม

อีกเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นประเด็นร้อนขณะนี้คือ การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับพื้นฐานเศรษฐกิจจริงของประเทศ และเอื้อต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเข้า และส่งออก รวมทั้งการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปัจจุบัน เป็นอัตราที่เกินพื้นฐานของเศรษฐกิจ และบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย

ส่วนเรื่องสุดท้าย คือ การแก้หนี้ครัวเรือนของคนไทยที่อยู่ในระดับสูง และป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นจนสร้างปัญหากับระบบการเงินของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ธปท.ก็ต้องดูแลให้มีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นในระดับที่เหมาะสมที่จะเติมสภาพคล่องให้กับประชาชน และเอสเอ็มอี

ภารกิจทั้งหมดนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ “วิทัย รัตนากร” ที่จะรับไม้ต่อจากผู้ว่าการเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และทีมผู้บริหาร ธปท. ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่

DE เดินหน้าลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝั่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลชุดก่อนตั้งใจขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีการคลอดกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ยกระดับการปราบปรามอาชญากรทางเทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้น กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ค่ายโทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลต้องยกระดับดูแลลูกค้าและร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าต่อเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและตรงจุด ยังมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายลูกอีกร่วม 10 ฉบับ ซึ่งรอ รมว.ดีอี คนใหม่เข้ามาขับเคลื่อน

รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ AOC 1441) ซึ่งมีภารกิจสำคัญเร่งด่วนจากนี้คือ การเชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เช่น หมายเลขโทรศัพท์ บัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ระบุตัวตนของผู้กระทำผิดได้เร็วขึ้น ในอนาคตจะสามารถรู้ได้ทันทีว่าบัญชีใดเป็นบัญชีม้า โดยไม่ต้องรอกระบวนการสืบสวนแบบเดิมที่ใช้เวลานานกว่า

นอกจากนั้น ยังเดินหน้าผลักดันให้ระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Office) ให้แต่ละกระทรวง ทบวง กรม นำไปใช้เต็มรูปแบบเปลี่ยนระบบเอกสารแบบเดิมที่ต้องใช้กระดาษ เซ็นด้วยลายมือและส่งเอกสารทางไปรษณีย์ มาเป็นระบบดิจิทัล 100% ซึ่งขณะนี้

DE นำร่องไปก่อนแล้ว, การเดินหน้านโยบายคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service หรือ GDCC) และการขับเคลื่อนเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของประเทศ ผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือบอร์ด AI แห่งชาติ เพื่อสร้างความพร้อมในการก้าวสู่ยุค AI ของไทยอย่างรอบด้าน DE ยังมีร่างกฎหมายสำคัญอีก 3 ฉบับที่จ่อรอขออนุมัติ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ไปรษณีย์ฉบับใหม่ แก้ไขให้ทันสถานการณ์ เพราะกฎหมายเดิมใช้มา 91 ปีแล้ว, ร่าง พ.ร.บ.อุตุนิยมวิทยาฉบับใหม่ที่ปรับให้ทันสมัยและร่าง พ.ร.บ.เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล พ.ศ. ... เพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจดิจิทัล กำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มให้เป็นธรรม โปร่งใส

พาณิชย์แก้ราคาพืชผล–ค่าครองชีพ–ดันส่งออก

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งแก้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวเปลือกนาปรัง ที่แบบเกี่ยวสดเหลือตันละ 3,500 บาท ต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี ส่วนแบบแห้งเหลือ 5,500–6,000 บาท จากช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมาตันละ 8,000–9,000 บาท แม้รัฐบาลที่แล้วไฟเขียวงบกว่า 7,286 ล้านบาท ช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนได้ และราคาข้าวตกต่ำ ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ส่วนข้าวเปลือกนาปีปี 68/69 ที่ผลผลิตจะออกราวๆเดือน ก.ย.เป็นต้นไปนั้น ยังต้องจับตาราคาจะตกต่ำหรือไม่ แม้รัฐบาลก่อนออกมาตรการช่วยเหลือ ทั้งไร่ละ 1,000 บาท และมาตรการสร้างเสถียรภาพราคา รวมวงเงินเกือบ 100,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่นๆที่กระทรวงพาณิชย์ดูแล กำลังจะออกสู่ตลาด และต้องเตรียมมาตรการรับมือแต่เนิ่นๆ ทั้งมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ผลไม้ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จับตาใกล้ชิดเช่นกันว่าจะยืนราคาที่ กก.ละ 9.80 บาท ได้นานเพียงใด หลังจากเมื่อเร็วๆนี้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดราคารับซื้อหน้าโรงงานในกรุงเทพฯและปริมณฑล กก.ละ 9.80 บาท โดยเฉพาะหากเปิดนำเข้าจากสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ต้องเร่งรัดผลักดันการส่งออกปีนี้ให้ได้ตามเป้าหมายขยายตัว 2-3% จากปีก่อน พร้อมๆกับเร่งหาตลาดใหม่ และรักษาตลาดเก่า เพื่อลดผลกระทบจากภาษีตอบโต้สหรัฐฯ อีกทั้งยังต้องเจรจาทางเทคนิคกับสหรัฐฯให้เสร็จสิ้น โดยเฉพาะกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สินค้าไทยได้รับสิทธิ์เสียภาษีนำเข้าที่ 19%, เจรจาสุขอนามัยสำหรับการเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น เนื้อหมู ฯลฯ รวมถึงเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ยังค้างอยู่ให้สำเร็จ โดยมีหลายฉบับที่ตั้งเป้าหมายเสร็จในปี 68

นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาการทะลักของสินค้าไร้คุณภาพ และสินค้าจากประเทศต่างๆ ที่ถูกสหรัฐฯใช้มาตรการภาษี จนต้องหาทางระบายสู่ประเทศอื่น และแก้ปัญหานอมินี หลังจากคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาเรื่องนี้สิ้นสภาพไปพร้อมกับตัวรัฐมนตรี รวมทั้งช่วยเหลือเอสเอ็มอีอยู่รอดได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

และที่ลืมไม่ได้ คือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพ การดูแลราคาสินค้า ช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญเรื่องนี้น้อยกว่าภารกิจด้านอื่น

แก้สัญญาสัมปทานก๊าซธรรมชาติอ่าวไทย

เลาะเลียบมากระทรวงพลังงาน ที่มีงบประมาณปีละ 3,000– 4,000 ล้านบาท แต่เนื้องานที่รอ รมว.พลังงานคนใหม่ หยิบมาสานต่อกลับมีมากมาย อาทิ แก้กฎหมายพลังงานกว่า 180 ฉบับ ที่ยังทำไม่สำเร็จ เช่น 1.โครงการโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก ที่อดีต รมว.พลังงาน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีแนวคิดจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กในประเทศ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และลดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป

สศช.เตือนเร่งแก้ปญหาก่อนเกิด “วงจรปีศาจ”

2.การแก้ไขสัญญาสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้ ภาครัฐได้ประโยชน์มากขึ้น 3.นโยบายจัดสรรก๊าซธรรมชาติสำหรับภาค ปิโตรเคมีที่ได้ทบทวนนโยบายการจัดสรร เพื่อให้เป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ 4.การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน แม้ส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีนโยบายที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น กำหนดทิศทาง ส่งเสริมพลังงานชีวมวล (biomass) และชีวภาพ (biogas) ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทพลังงานหมุนเวียนฉบับใหม่

5.ทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม ให้เป็นธรรมและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 6.จัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงของประเทศ (SPR) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ ในระดับที่รัฐบาลควบคุมได้ โดยหลักการ คือ จะนำน้ำมันสำรองมาดูแล ปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

7.การสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารในสังกัด อาทิ การเสนอชื่อผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนใหม่ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา, การสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ที่สรรหาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้, การจัดทำแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่เลื่อนการพิจารณาออกไป

ดันอุตสาหกรรมเป้าหมายดึงเงินลงทุน

ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีงานค้างที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน อาทิ 1.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่เน้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่มีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น

2.ผลักดันร่าง พ.ร.บ.การจัดการกากอุตสาหกรรมฉบับใหม่ เพื่อแก้ปัญหาลักลอบทิ้งกากของเสีย และยกระดับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรก ที่จัดการกากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิม เพราะจะเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น สำหรับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเถื่อนหรือทุนสีเทา ที่ลักลอบ ทิ้งกากพิษ, มาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม ที่อาจรวมถึงการจัดตั้งกองทุน เพื่อการจัดการกากอุตสาหกรรมด้วย

3.เร่งปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรมให้เสร็จ เพื่ออำนวย ความสะดวกในการประกอบกิจการให้มากขึ้น เช่น ยกเลิกหรือลดขั้นตอนการขออนุญาตที่ไม่จำเป็น 4.เร่งยกร่าง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและทุ่มตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีไทย

5.เตรียมจัดหามาตรการรองรับ กรณีข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักร ไทย กับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่คณะอนุญาโตตุลาการได้เลื่อนการ ออกคำชี้ขาด หรือคำตัดสินออกไปหลายรอบแล้ว จนล่าสุดจะครบกำหนด การออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินวันที่ 30 ก.ย.นี้ ตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายร้องขอ ซึ่งเป็นกรอบระยะเวลาที่เชื่อว่าจะเจรจาให้ได้ข้อยุติ

สภาพัฒน์แนะเร่งทำ 5 มาตรการ

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือสภาพัฒน์) วิเคราะห์ว่า มี 5 มาตรการที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ในสิ้นปีนี้ เริ่มจาก 1.ภาคการท่องเที่ยว ที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลัก แต่ล่าสุด ณ เดือน ก.ค.68 รายได้กลับติดลบจากปีก่อน จึงต้องมีมาตรการ ฟื้นฟูเร่งด่วน 2.การลดต้นทุนและภาระของภาคส่งออก โดยไม่ควรออกมาตรการที่ซ้ำเติม เช่น การปรับค่าแรงที่กดดันผู้ประกอบการ 3.สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ หลังจากธนาคารเน้นปล่อยกู้รายใหญ่ ทำให้เอสเอ็มอีเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปี

4.การรณรงค์ใช้สินค้าไทยและท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อพยุงเศรษฐกิจในภาวะที่การส่งออกไปสหรัฐฯถูกกีดกันและตลาดจีนแข่งขันยาก โดยย้อนรอยความสำเร็จของมาตรการ Made in Thailand 5.หลีกเลี่ยงใช้มาตรการที่ใช้เงินจำนวนมาก หรือหากจำเป็นต้องใช้ ก็ขอให้เป็นทางออกสุดท้าย เพราะภาระการคลังสูงขึ้นต่อเนื่องและมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะจะทะลุ 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปีหน้า

นอกจากนี้ ต้องเดินหน้านโยบายเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านกว่า 79,600 แห่งทั่วประเทศ ผ่านโครงการ SML จัดสรรตามขนาดกองทุน S=200,000 บาท, M=300,000 บาท และ L=400,000 บาท ที่รัฐบาล ก่อนเริ่มไว้ โดยใช้งบปี 68 กว่า 11,000 ล้านบาท และเติมเข้าไปอีก 4,000 ล้านบาทในช่วงกลางปี เพื่อให้ครอบคลุมกองทุนที่ยังตกหล่น

แต่ ณ เดือน ก.ย.68 มีเพียง 14,721 กองทุน ที่ผ่านการอนุมัติและทยอยโอนเงินให้ แต่ที่เหลือยังไม่ได้เงิน เพราะติดปัญหาการตรวจเล่มโครงการ และการกลั่นกรองเอกสารจากส่วนกลาง ทำให้โครงการคืบหน้าไม่เต็มที่ และรัฐบาลใหม่ต้องเร่งเคลียร์เอกสารที่ค้าง พร้อมวางระบบตรวจสอบให้การเบิกจ่ายถึงมือทุกกองทุนอย่างโปร่งใส

ทั้งนี้ สภาพัฒน์คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 จะเติบโต 1.8–2.3% แต่อาจต่ำกว่านี้ได้ หากไม่มีมาตรการเร่งด่วนเข้ามาประคอง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้เสียภาคธุรกิจที่สูงขึ้น หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ “วงจรปีศาจ” (Diabolic Loop) ที่หนี้เสียฉุดรั้งภาคการเงินและภาคธุรกิจ ซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ชะลอตัวแรงกว่าเดิม

“อนุทิน” ต้องตัดสินใจมหาบิ๊กโปรเจกต์

ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายโครงการที่ทำให้เศรษฐกิจไทย “ติดหล่ม” เพราะความล่าช้า และไม่สามารถผลักดันให้สำเร็จได้ตามแผน โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบิน ดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นหนึ่งใน โครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังฉุด “เมืองการบินภาคตะวันออก–อู่ตะเภา” ให้ติดหล่ม

เนื่องจากแผนธุรกิจสนามบินใหม่นี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ผู้โดยสาร จะเดินทางเชื่อมจากดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ด้วยระบบราง แต่สัญญา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ยังติดปัญหาการแก้ไขเงื่อนไขร่วมทุนกับ เอกชน, การตรวจสอบโดยอัยการสูงสุด และการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จ

หากรถไฟฟ้ายังไม่สามารถเดินหน้าได้ เมืองการบินจะขาดแรง ดึงดูดนักลงทุนและสายการบิน ขณะที่เอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ลงทุนไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ Notice to Proceed (เอกสารจากผู้ว่าจ้างให้เริ่มต้นทำงานตามสัญญา)

ดังนั้น รัฐบาลอนุทินจึงต้องเร่งเคลียร์สัญญาและส่งมอบพื้นที่ของ รถไฟ ควบคู่กับเจรจาสิทธิประโยชน์เมืองการบิน มิฉะนั้นความล่าช้า ทั้ง 2 โครงการนี้ จะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะล้มเป็นโดมิโนไปพร้อมกัน

พิสูจน์ฝีมือดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ส่วนการท่องเที่ยวที่เคยเป็นความหวังสำคัญของเศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญแรงกดดันหนักในปี 68 เมื่อครึ่งปีแรกจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงราว 5% เหลือประมาณ 16.7 ล้านคน ขณะที่รายได้จากต่างชาติช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปีนี้ อยู่ที่ 895,157 ล้านบาท หดตัว 4.2% จากปีก่อน ธุรกิจโรงแรมและที่พัก คาดว่า รายได้ทั้งปีจะหดตัวอีก 4.5% สะท้อนกำลังใช้จ่ายที่ลดลง ขณะที่ตลาดหลักอย่างจีนยังซบเซา ต่อเนื่อง แม้ตลาดระยะไกลจากยุโรปและอเมริกาขยายตัว แต่ยังเป็น คำถามว่า จะทดแทนการหดตัวของตลาดระยะใกล้ได้หรือไม่

แม้ปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 39 ล้านคน แต่ล่าสุด อาจทำได้เพียง 34-35 ล้านคน ขณะที่ผู้ประกอบการโรงแรมยังเผชิญภาระต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท

สะท้อนว่า การท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นเครื่องยนต์หลักกำลังกลาย เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไข อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไทย (ไฮซีซัน) ยังเปิดโอกาสให้ประเทศสร้างรายได้กลับมาได้ หากสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและกระตุ้นการใช้จ่ายได้สำเร็จ

ตลาดทุนร้อง “กิโยตีน” กฎหมาย

ฝั่งตลาดทุน สิ่งที่ต้องดำเนินการด่วน คือ เดินหน้า “กิโยตีนกฎหมาย” ที่เคยศึกษามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการ ประกอบธุรกิจ ใบอนุญาตต่างๆที่ใช้หลักการยื่นเอกสาร การพิจารณาการอนุญาตต่างๆผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบออนไลน์

รวมถึงการแก้ไขกฎหมายเพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจสมัยใหม่ (New Economy) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ การปรับปรุงกฎหมายมหาชนและกฎหมายหลักทรัพย์ เรื่องหุ้นหลายประเภท Dual class, การฟ้องคดีโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในคดีสำคัญ และการประชุม การส่งเอกสาร ที่ลดต้นทุน ให้เสร็จปลายปี

พร้อมกับยกร่างกฎหมายแบบ Omnibus ที่แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับให้แล้วเสร็จ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยการสนับสนุนของทุกพรรคการเมือง และสนับสนุนมาตรการทางภาษี แก่บริษัทจดทะเบียนของโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน (Jump+) และโครงการ TISA ที่ส่งเสริมการออมเพื่อการลงทุนระยะยาว

หากปรับปรุงแก้ไข และออกกฎหมายเหล่านี้ได้สำเร็จ จะเป็น ประโยชน์กับทุกพรรคการเมือง ที่จะเข้ามาบริหารประเทศในอนาคต.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ