
นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการสายงานเศรษฐกิจมหภาค ประจำปี 2568 “เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย” ว่า มีความกังวลต่อปัญหาหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในภาคธุรกิจไทยที่เพิ่มสูงขึ้น และห่วงผลกระทบในรูปแบบ “Diabolic Loop” หรือวงจรปีศาจ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่อาจส่งผลย้อนกลับมากระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การแก้ปัญหาด้วยมาตรการกระตุ้นแบบเดิมๆ อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมอีกต่อไป
“การแก้ไขปัญหาที่เป็น Diabolic Loop เป็นเรื่องที่มีความยากและซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ และเป็นความท้าทายระดับมหภาคที่สำคัญ โดยเศรษฐกิจไทยปัจจุบันกำลังติดอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า วัฏจักรที่เป็น vicious circle หรือวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนกลับไปที่ปัญหาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีที่ไม่เติบโต โดยเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ และในที่สุดก็วนกลับมาส่งผลกระทบต่อจีดีพีอีกครั้ง
นายวิชญายุทธ กล่าวว่า ประเทศที่สามารถแก้ไขปัญหา NPL ในภาคธุรกิจได้อย่างรวดเร็วจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าประเทศที่แก้ไขปัญหาได้ช้า ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการปัญหาหนี้เสียอย่างทันท่วงที ซึ่งการแก้ปัญหาที่ได้ผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป โดยเฉพาะการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เช่น การขยายสินเชื่อหรือการกู้เงิน ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเพิ่มรายได้ คือการเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยมาตรการระยะสั้น
“สศช. กำลังดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์สินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจของไทยทั้งในระดับมหภาคและระดับรายธุรกิจ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับปัญหานี้ วงจรนี้ต้องถูกเบรกออกไป แต่การเบรกต้องอาศัยความสามารถ ความร่วมมือร่วมใจ และการเห็นปัญหาตรงกัน”
นายวิชญายุทธ ยังให้ความเห็นถึง การเตรียมออกนโยบาย “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นมาตรการระยะสั้นทำได้เพียงประคับประคอง พร้อมเสนอมาตรการเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องพิจารณาเร่งดำเนินการภายในสิ้นปีนี้เพิ่มเติมอีก คือ 1.ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเชื่อกันว่าจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า รายได้จากการท่องเที่ยวปรับลดลง ติดลบจากปีก่อน 2.รัฐบาลควรหาวิธีช่วยลดต้นทุน ลดภาระ และอำนวยความสะดวก ให้กับภาคส่งออกโดยไม่ควรไปออกมาตรการที่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการค่าแรง 3.การสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย (SME) ได้รับสินเชื่อ แต่ปัญหาคือธนาคารจำกัดกลุ่มการปล่อยกู้ให้เฉพาะรายใหญ่ ทำให้ SME รายเล็กยิ่งแย่ลง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SME ที่เป็น NPL เพิ่มขึ้น การศึกษาทำให้ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้รายเล็ก
“การออกแบบมาตรการต้องไม่เป็นแบบ One size fits all ต้องมีการปรับแต่งมาตรการให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม ความกังวลสำคัญอีกประการหนึ่งคือภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีโอกาสสูงมากที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะทะลุ 70% ในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าสูงมาก”
4. การรณรงค์ใช้สินค้าไทยและเที่ยวในประเทศ เนื่องจากการส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างอเมริกาเจอมาตรการกีดกันทางการค้าและกระแส “Mercantilism” การหันไปจีนก็สู้ยาก เพราะจีนได้เปรียบในทุกด้าน ดังนั้น การลดการนำเข้า และเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ โดยการรณรงค์ใช้สินค้าไทยและเที่ยวไทยจะช่วยประคองเศรษฐกิจได้ ซึ่งในอดีตเคยใช้มาตรการ Made in Thailand และประสบความสำเร็จมาแล้ว 5.การหลีกเลี่ยงมาตรการที่ใช้เงินจำนวนมาก โดยควรให้มาตรการที่ใช้เงินมากเป็นทางออกสุดท้าย เนื่องจากมีข้อจำกัดทางการเงินมากขึ้น และมาตรการเหล่านี้เมื่อหมดลงก็มักจะทำให้เศรษฐกิจกลับไปแย่ลงอีก เพราะหากมีหนี้เยอะ ท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบกลับมาที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ