รัฐขยับสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ไม่เกิน 50% สคช.-ธปท.แนะทำระยะสั้นหวั่นกระทบเชื่อมั่นประเทศ

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

รัฐขยับสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ไม่เกิน 50% สคช.-ธปท.แนะทำระยะสั้นหวั่นกระทบเชื่อมั่นประเทศ

Date Time: 10 ก.ย. 2568 08:30 น.

Summary

ครม.รับทราบขยายเพดานหนี้สาธารณะในส่วนภาระหนี้ของรัฐต่อรายได้ จากเดิมไม่เกิน 35% เป็น50% สศช.-ธปท.ห่วงกระทบเชื่อมั่นประเทศ “ผอ.สำนักงบฯ” ชี้ ดึงงบปี 68 ทำคนละครึ่งได้ แต่ต้องภายใน 30 ก.ย.

Latest

ยุบสภา สะเทือนนโยบายหลักต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ เผยคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ฝันค้าง

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญคือการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ สำหรับสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ รายงานว่าในขณะนี้ได้เกินจากเพดานที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 35% โดยสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ โดยอยู่ที่ 35.14%

ทั้งนี้ เหตุผลที่สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯเกินกว่ากรอบเนื่องจากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากควิด-19  ประกอบกับรัฐบาลต้องก่อหนี้ระยะสั้น ในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุน ส่งผลให้หนี้กระจุกตัวและทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมาก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในคราวประชุมคณะกรรมนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2567 ที่ประชุมฯพบว่า สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ ณ สิ้นเดือน ก.ย.จะอยู่ที่ 35.15 % เกินกรอบปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกิน 35% และจากประมาณการตามแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2572 พบว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเกินกรอบที่ 35% อีกครั้งตั้งแต่ปีงบประมาณ 2570  เป็นต้นไป จึงเห็นควรขยายกรอบสัดส่วนเป็นไม่เกิน 50% เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ความเห็นว่ากรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ เป็นกรอบวินัยการเงินการคลังเพื่อรักษาความสามารถการชำระหนี้ของรัฐบาลและควบคุมความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการปรับกรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ เป็นไม่เกิน 50% อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวม

ดังนั้น การปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบชั่วคราว โดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นต้น รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัยการเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแล้วมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯเป็นการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณะให้เข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เพื่อให้สามารถรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้และวินัยการเงินการคลังควบคู่กันไปด้วยและอาจพิจารณาทบทวนสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป

ขณะที่นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวถึงความพร้อมการดำเนินนโยบายตามรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่า พร้อม ยืนยันว่างบประมาณมีพอ ขณะที่เมื่อถามถึงกรณีงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 จำนวน 25,000 ล้านบาท ที่เหลือจาก 157,000 ล้านบาท จะนำมาดำเนินโครงการคนละครึ่งได้หรือไม่ นายอนันต์ กล่าวว่า ต้องดูว่าใช้ทันสิ้นปีงบ68 หรือไม่ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ หากดำเนินการทัน ก็ต้องทำเลย




Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ