
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ว่า คำตัดสินของศาลถือเป็นดุลยพินิจที่ต้องน้อมรับ ยอมรับว่าเหตุการณ์วันนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมืองไทย กระทบต่อเศรษฐกิจที่เผชิญวิกฤตอยู่แล้ว ทั้งกำลังซื้อถดถอย หนี้ครัวเรือนสูง ภาษีการค้าสหรัฐฯ ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ตึงเครียด รวมถึงปัญหาชายแดนและการปิดด่านกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งหมดส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว
“วันนี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บั่นทอนศรัทธา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงน่าห่วงเพราะเรากำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักอยู่แล้ว เอกชนและนักลงทุนต่างชาติจับตาการเมืองไทยใกล้ชิด หากยังไร้เสถียรภาพ ความเชื่อมั่นจะสั่นคลอนหนักขึ้น นักลงทุนลังเล การท่องเที่ยวชะลอตัว ทุกอย่างกระเทือนเป็นลูกโซ่”
นายพจน์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ คือฝ่ายการเมืองต้องเร่งหานายกรัฐมนตรีใหม่ เพื่อให้ประเทศมีผู้นำที่สานต่อการทำงานได้โดยเร็ว เพราะการฟื้นฟูประเทศไม่สามารถทำได้เพียงฝ่ายเดียว การเมืองต้องนิ่ง มีเสถียรภาพ และเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม ออกแบบมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง จึงจะสร้างความมั่นใจให้สังคมและนักลงทุนได้ ภาคเอกชนต้องการเห็นการฟอร์ม ครม.ที่ดี ได้บุคคลที่มีฝีมือเป็นที่ยอมรับบริหารประเทศ
ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า เมื่อศาลมีความชัดเจนในเรื่องนี้แล้ว ทางตลาดทุนหวังว่า ประเทศไทยจะสามารถที่จะจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยเร็ว เพื่อมาช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและดูแลความมั่นคงของประเทศ โดยตลาดทุนพร้อมจะร่วมมือกับรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สำหรับความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น อาจมีบ้าง แต่โดยรวมถือว่าตลาดซึมซับรับข่าวเรื่องนี้ไปพอสมควรแล้ว ประเด็นสำคัญที่จับตามองเวลานี้ คือ ความมั่นคงของรัฐบาลใหม่ ที่จัดตั้งขึ้นมาและรายชื่อครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญก้าวแรกในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวยอมรับว่าประเทศไทยกลับมาเผชิญกับสุญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง นโยบายรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง การมีรัฐบาลใหม่คงใช้เวลาอีก 2-3 เดือน ทำให้เศรษฐกิจที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว อาจโตต่ำกว่าครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะโตเพียง 1% หวังว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ใน 1-2 เดือน และควรมี ครม.เข้ามาบริหารงานได้เต็มอำนาจแล้ว เพื่อไม่ให้ทุกอย่างซึมลง เหมือนช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลังนายกฯ ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ส่วนความคาดหวังการท่องเที่ยวในประเทศที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจช่วงสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นฤดูกาลไฮซีซั่น แต่ปีนี้อาจมีการเดินทางน้อยลง
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น มาตรการกระตุ้นตลาดที่ต้องใช้งบประมาณ หรือโครงการใหญ่ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม หยุดชะงัก กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของเอกชน เพราะต้องรอดูโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา โดยไทยควรใช้โอกาสใน 2-3 ปีนี้ ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆแทน เช่น ญี่ปุ่นและเวียดนาม
“การค้าที่มีผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนเอกชนที่ความเชื่อมั่นหายไปจากสุญญากาศการเมือง รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัว มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมสูงมาก ทั้งปี 68 นี้ เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมคงได้เห็นที่ 34.5 ล้านคน ไม่น่าต่ำกว่านี้แล้ว เพราะตัวเลขนี้ถือว่าต่ำสุดแล้ว”
ด้านนายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า เป็นห่วงเศรษฐกิจไทย เพราะนโยบายของรัฐบาลที่วางไว้ หรือกำลังทำต้องชะลอหรือหยุดชะงัก ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ โดยภาคธุรกิจมีความกังวลว่า สิ่งใดที่ภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่มา “ข้อตกลงระหว่างรัฐมนตรีที่ตกลงไว้กับต่างประเทศ ก็ต้องหยุดทั้งหมด ไม่สามารถเดินต่อ ส่วนดีลภาษีสหรัฐฯน่าจะเดินต่อไปได้ เพียงแต่ต้องรอครม.ชุดใหม่มาสานต่อ”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเปลี่ยนรัฐบาลอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 รวมถึงโครงการลงทุนต่างๆ ชะงักลงได้ แต่เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสฟื้นตัว หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันวางมาตรการรองรับได้ทันการณ์ ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังเผชิญปัจจัยเสี่ยง เช่น ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อ กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าลดลง รวมทั้งการปรับอัตราภาษีส่งออกกับสหรัฐฯ อาจทำให้ GDP ไทยครึ่งปีหลังโตต่ำกว่าที่คาด โดยหากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า จะกระทบนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ไขปัญหาชายแดน การจัดการอุทกภัย และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการที่ต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มตัดสินใจ ช่วงที่เสถียรภาพการเมืองยังไม่แน่นอน ภาครัฐต้องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและประชาชน เพิ่มงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทักษะแรงงาน และสนับสนุนการเข้าถึงเงินทุนของเอสเอ็มอี (SMEs) รวมทั้งทำงานร่วมภาคเอกชนเพื่อวางแผนระยะกลางและระยะยาว
“การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าเสถียรภาพทางการเมืองเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และกระทบต่อการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว”
นายเกรียงไกรว่า ภาคเอกชนต้องปรับตัวเชิงรุก เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก เช่น สินค้าเทคโนโลยีและบริการดิจิทัล หันมาลงทุนในนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ และระบบบริหารความเสี่ยง เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
“ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในสถานการณ์เช่นนี้ ถือเป็นกุญแจสำคัญ หากเราวางแผนและดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง แม้การเมืองไม่มั่นคง แต่เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัว และรักษาความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนได้”