
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสายบุญ ที่บริจาคเงินแล้วต้องการให้ใบอนุโมทนาบัตรเชื่อมออนไลน์ไปยังระบบของกรมสรรพากร เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี
เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 เป็นต้นไป หากทำบุญหรือบริจาคเงินให้วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์กรต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคที่ต้องการสิทธิหักลดหย่อนภาษีประจำปี สามารถบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e–Donation : อี–โดเนชัน) ของกรมสรรพากรเท่านั้น
และจากนี้ไปผู้บริจาคไม่ต้องกังวลว่าต้องเก็บใบอนุโมทนาบัตรแบบกระดาษอีกต่อไป เนื่องจากระบบ e-Donation จะส่งข้อมูลการบริจาคตั้งแต่สถานที่บริจาค ธนาคาร และบุคคล หรือองค์กร จะเข้าสู่ฐานข้อมูลของกรมสรรพากรทันที
ขณะเดียวกันทำให้ผู้ขอลดหย่อนภาษีได้คืนภาษีด้วยความรวดเร็วด้วย เพราะข้อมูลการบริจาคจะปรากฏในฐานข้อมูลการเสียภาษีประจำปี ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้เสียภาษี และยังตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล
อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบได้ด้วยว่าเงินที่บริจาคไปนั้นตรงไปตรงมา เงินเข้าวัดวาอารามและองค์กรรับบริจาคแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง ลดการทุจริต ลดคำครหาว่าการออกใบเสร็จเท็จ หรือการหักลดหย่อนเกินจริง หรือปลอมแปลงหรือใช้ซ้ำเพื่อหักลดหย่อนภาษี
ความพยายามของกรมสรรพากรที่จะให้หน่วยรับบริจาคลงทะเบียนในระบบ e-Donation มาหลายปีแล้ว เนื่องจากต้องการให้เกิดความโปร่งใส และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษี ลดการเก็บใบอนุโมทนาบัตร
ขณะนี้มีหน่วยงานและวัดหลายแห่งได้ลงทะเบียนแล้วซึ่งประชาชนสามารถสังเกตได้เมื่อไปทำบุญ จะมีตู้บริจาคพร้อมระบบคิวอาร์โค้ด เป็นการบริจาคเงินเข้าบัญชีธนาคารของวัดทันที และวัดได้ขึ้นบัญชีไว้ในระบบ e–Donation เป็นที่เรียบร้อย ทำให้การทำบุญนั้นได้สิทธิหักลดหย่อนภาษีทันที
แต่ก็ยังมีอีกหลายวัดและหลายหน่วยงานที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน โดยเฉพาะวัดวาอาราม ทำให้กรมสรรพากรต้องส่งหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขอแจ้งไปยังวัดวาอารามต่างๆ ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรด้วย หากวัดใดไม่แน่ใจก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ตรวจสอบข้อมูลหน่วยรับบริจาค ขณะนี้มีหลายธนาคารที่เข้าเชื่อมระบบ e-Donation กับแอปพลิเคชัน อาทิ กรุงไทย ออมสิน กสิกรไทย ฯลฯ
การนำระบบ e–Donation มาใช้ ถือเป็นการยกระดับการจัดเก็บภาษีของไทยให้ก้าวไปสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ
โดยนโยบายของกรมสรรพากรนั้น ต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาสนับสนุนการทำงาน ลดขั้นตอนการเตรียมข้อมูล เพื่อช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบภาษีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมการยื่นแบบและชำระภาษีเพื่อออกแบบบริการภาษีให้ตรงกับแต่ละบุคคล ที่สามารถตรวจสอบได้ โปร่งใส เสริมสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม
ขณะเดียวกันต้องทำขั้นตอนการเสียภาษีให้เป็นเรื่องง่ายๆ เข้าใจง่าย เพื่อจูงใจให้ผู้มีรายได้ทุกคนหันมาเสียภาษี และเมื่อระบบภาษีของกรมสรรพากรเชื่อมกับข้อมูลกับทุกหน่วยงานแล้ว เชื่อว่าจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น และจะไม่มีผู้มีรายได้ไม่ยอมยื่นแบบภาษี หรือหลีกเลี่ยงการชำระภาษีได้อีก เพราะกรมสรรพากรมีฐานข้อมูลผู้มีรายได้เกือบทุกคนแล้ว โดยปัจจุบันผู้มีรายได้บุคคลธรรมดายื่นแบบชำระภาษี 10-12 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีจริงๆ เพียง 4 ล้านคนเท่านั้น
จากข้อมูลของกรมสรรพากรระบุว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ยื่นชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านระบบออนไลน์ E-Tax เกินกว่า 90% แล้ว และเชื่อว่าจะครบ 100% ในเร็วๆนี้ เพราะกรมสรรพากรได้เชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกือบครบทุกหน่วยงานแล้ว
เช่นเดียวกับการจัดเก็บข้อมูลภาษีนิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่มีการยื่นเอกสารผ่านระบบออนไลน์ และให้ผู้ประกอบการยื่นภาษีผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด เพื่อความสะดวกรวดเร็ว สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา
โดยปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพากรตั้งเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ไว้ที่ 2.37 ล้านล้านบาท คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 2.44 ล้านล้านบาท
ในลำดับถัดไป ต้องรอลุ้นนโยบาย Negative Income Tax (NIT) คือระบบที่ประชาชนทุกคนต้องยื่นภาษี ว่าจะเกิดขึ้นจริงได้เมื่อใด โดย “ลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ประกาศว่าจะนำมาใช้ในปี 2570
ดังนั้น รอพิสูจน์ฝีมือการทำงานของ “ปิ่นสาย สุรัสวดี” อธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน ว่าจะยกเครื่องโครงสร้างการจัดเก็บ ภาษีของประเทศได้อย่างไร!!! โปรดติดตามอย่างใกล้ชิด.... เพราะภาษีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป.
ดวงพร อุดมทิพย์
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม