เยียวยาธุรกิจชายแดนไทย-เขมร

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เยียวยาธุรกิจชายแดนไทย-เขมร

Date Time: 22 ส.ค. 2568 07:30 น.

Summary

“พิชัย” รับข้อเสนอหอการค้าไทยยื่นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบทางธุรกิจของ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เรียกหาแรงงานไทยช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน หากมีทักษะและความชำนาญพร้อมจ่ายเงินเพิ่มให้ รวมทั้งนำเข้าแรงงานจากหลายๆ ประเทศ ขณะที่หอการค้าขอแบงก์รัฐออกมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน ให้จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดน วงเงิน 5,000 ล้านบาท ขอให้ลดภาษีและเงินสมทบประกันสังคม

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้นำคณะเข้าพบเพื่อยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าการแก้ไขปัญหาจะเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีมาตรการหลากหลายทั้งด้านภาษี การเงิน แรงงาน และการตลาด แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดทิศทางและจังหวะของการช่วยเหลือในพื้นที่ ต้องได้รับการประเมินสถานการณ์และความเห็นชอบจากฝ่ายความมั่นคงก่อน


“ภาคเอกชนและหอการค้าได้ร้องเรียนมานาน และสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง จึงถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจแม้จะยังไม่มีตัวเลขประเมินความเสียหายโดยรวมที่ชัดเจน แต่ผลกระทบต่อแต่ละอุตสาหกรรมนั้นพอจะประเมินได้ โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดหลักที่ได้รับผลกระทบ อาชีพหลักคือเกษตรกรรม เผชิญปัญหาทั้งเรื่องการจัดเก็บผลผลิตเนื่องจากขาดแคลนแรงงาน และปัญหาด้านช่องทางการตลาด นอกจากนี้ ภาคโรงแรมและร้านอาหารก็ประสบปัญหาไม่มีผู้เข้าใช้บริการ ทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องการจ่ายค่าแรง 400 บาท ขณะที่การค้าชายแดนใน 7 จังหวัดก็ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ”


นายพิชัยกล่าวว่า ในด้านแรงงานได้หารือการนำเข้าแรงงานเพิ่มจากประเทศต่างๆ เช่น บังคลาเทศและการหาแรงงาน ถ้ามีความชำนาญ ก็พร้อมจะจ่ายเพิ่มหากแรงงานไทยมีทักษะและความพร้อมในการทำงาน และจะสนับสนุนให้มีการจัดสัมมนาในพื้นที่ 7 จังหวัด โดยนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าเกษตร ซึ่งหอการค้าไทยมีแผนที่จะร่วมมือกับผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก และตลาดกลางต่างๆ เพื่อกระจายสินค้าเกษตรจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบออกไปทั่วประเทศ ในกรณีที่ยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้โดยตรง จะเน้นดึงสินค้าออกมาจำหน่ายนอกพื้นที่ก่อน


ส่วนมาตรการลดหย่อนภาษีมีอยู่หลายมาตรการ บางส่วนได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และจะมีการพิจารณาทบทวนเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย การขอผ่อนผันการยื่นภาษี หรือการลดอัตราภาษีให้ครอบคลุมทุกด้าน ส่วนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำภาครัฐยินดีสนับสนุน และจะหารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อขอความร่วมมือด้วย


ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันว่า ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะใน 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคเกษตรกรรมที่กำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ภาคธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่โครงการต้องหยุดชะงัก และภาคการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัย


ทั้งนี้ หอการค้าไทยได้นำเสนอมาตรการด้านแรงงานและการจ้างงานรวมทั้งสิ้น 7 ข้อ โดยเฉพาะการนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากแรงงานกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว และเมียนมา และจากบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาเสริมในระยะยาว และให้ผ่อนปรนการกลับเข้าประเทศของแรงงานกัมพูชาและลดค่าใช้จ่ายการขึ้นทะเบียนแรงงานใน MOU รอบใหม่ลง 50% รวมทั้งให้ชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในธุรกิจโรงแรมและสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ เสนอให้ปรับลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนลงเหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ


นอกจากนี้ เสนอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือนให้จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดน วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว ขอให้ลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีป้ายลงถึง 90% เสนอให้ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี และขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีออกไปอีก 3-6 เดือนสำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นต้น


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ